ชีวิตกับการเดินทางครั้งใหม่ของ คริสเตียน โบ

โดย ฟรานซิส นันตะสุคนธ์
นิตยสารผู้จัดการ( มีนาคม 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

คริสเตียน โบ เกิดในฟาร์มเล็กๆ แห่งหนึ่ง แถบชานเมืองนอร์เวย์ ด้วยความที่ยากจน เขาจึงต้องออกจากการเรียนมาทำงาน เป็นเด็กส่งไปรษณีย์ตั้งแต่อายุ 16 ปี

ด้วยความสามารถที่ล้นเหลือในชีวิตผู้ชายคนนี้ บวกด้วยความเก่งกาจ เขาได้รับทุนให้ศึกษาต่อจากที่ที่เขาทำงานอยู่ จนจบถึงระดับดอกเตอร์จาก Norwegian Technical University, Norway แล้วเข้ามาทำงานระดับชาติใน The Norwegian Telecommunication Administration (Telenor) จนเมื่อได้รับการติดต่อให้มาช่วยงาน ทศท ที่เมืองไทยเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว มีความตั้งใจเดิมว่าจะมาเที่ยวแค่ 4 เดือน

ปัจจุบันเขาลงรากปักฐานกับภรรยาสาววัย 27 ปี และขอใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของชีวิตในประเทศไทย เป็นที่สุดท้าย "Home is where the heart is" เขาบอกกับ "ผู้จัดการ"

ด้วยชีวิตการทำงานที่เข้มข้น เขาเคยเป็นที่ปรึกษาอาวุโสให้กับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ในระยะที่เริ่มดำเนินการแรกๆ จวบจนเมื่อเกษียณ เขาจึงหันมาบุกเบิกงานให้กับเทเลคอมเอเซีย ในฐานะ Vice President ดูแลฝ่ายเครือข่ายและวางแผน โดยมีฐานะเป็นลูกจ้าง มีตัวเลขทะเบียนพนักงาน 001 อยู่ 10 ปี จนเลื่อนเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของเทเลคอมเอเซีย แล้วเกษียณตัวเองอีกครั้งด้วยวัย 70 ปี เมื่อสิ้นสุดปีที่แล้ว

แต่เดิมเขาได้ใช้เวลาชีวิตการพักผ่อนไปกับการปั่นจักรยานที่เขาหลงรักตั้งแต่แรกๆ ที่มาเมืองไทย เดินทางไปกับก๊วนเพื่อน 4-5 คน ด้วยเพราะความรักการผจญภัย และชอบที่จะเจอประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต ได้สัมผัสชีวิตผู้คนตามเส้นทางที่เดินทางไป เขาเคยปั่นจักรยานข้ามประเทศมาแล้วถึง 6 ทริป แต่ในทริปที่ 7 นี้กับเลขอายุหลักเจ็ดสิบ กลับเป็นทริปที่เดินทางไกลมากที่สุดด้วยระยะทางกว่า 18,000 กิโลเมตร โดยออกจากประเทศไทย ผ่านหลายประเทศไปจนถึงสวีเดน อันเป็น "ภารกิจชีวิต" ที่ต้องการทำมานาน

เพราะเหตุผลที่ว่า "ตอนนี้ผมฟรีจากทุกอย่างแล้ว" เขาบอก

เขาว่าเขาจะเดินทางไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก จึงไม่กำหนดวันกลับที่แน่นอน

เมื่อถามว่าอะไรที่เขาชอบที่สุดในการเดินทาง "คือการที่ผมได้เห็นมิตรภาพและน้ำใจของคนในทุกที่ที่ได้เดินทางไป โดยเฉพาะคนไทย ซึ่งผมคิดว่าไม่อาจจะหาไมตรีอย่างนี้ได้ที่ไหนในโลก คนไทยมีความเอื้อเฟื้อและแบ่งปัน แม้ว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน"

และกับคำถามที่ว่ามีที่ไหนที่น่าตื่นเต้นบ้าง "เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมอยากเข้าพม่ามาก แต่เขาไม่อนุญาต ผมก็ลองขออยู่หลายครั้งจนเป็นปี ผมจึงต้องเปลี่ยนไปกัมพูชา ปีต่อมาก็ปั่นจักรยานไปแม่สอด กะจะข้ามไปพม่าให้ได้ พอดีผมก็เข้าไป ได้ เข้าไปถึงมัณฑะเลย์ ขากลับ ผมมาถึงอีก 88 กิโลก็เป็นฝั่งไทย แต่ข้างหน้าเป็นพื้นที่ของพวกกองกำลังกะเหรี่ยง เขาไม่ให้ผ่าน ผมไม่รู้ว่าพื้นที่นี้มันต้องห้าม ผมเลยหาทางติดต่อ หาคนมาช่วยเพื่อที่จะให้ข้ามไปได้ วันหนึ่งผมหลับอยู่ก็มีรถมารับราวตีห้า ผมนั่งแอบอยู่ที่เบาะหลังของรถกระบะ ผมเห็นผู้ช่วยฝั่งเราคนหนึ่งเข้าไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ชายแดน และให้เงินเขาไป จนผมสามารถผ่านกลับบ้านได้ ครั้งที่สองผมก็ไปอีก แต่ใกล้กับฝั่งไทยมากกว่าคราวที่แล้ว คราวนี้ทหารพม่า เอาไฟส่องเข้ามาในรถจนเจอผม เขาเอาผมออกมาจากรถ ซักผมเยอะมาก ถามว่ามาได้ไง แล้วจับตัวผมส่งกลับสถานีตำรวจ ที่พะอัน เอาพาสปอร์ตไป แล้วให้ไปเจอกับสารวัตร เขาถามผมว่ามีใบอนุญาตอะไรหรือเปล่า"

"ผมบอกไปว่ามี ก็อยู่ที่พาสปอร์ตไง ผมเคยขออนุญาต ไปที่สถานทูตพม่าแล้วแต่เขาไม่ตอบผม ก็แสดงว่าอนุญาตผมแล้วซิ ดังนั้นผมก็ไปที่ไหนก็ได้ซิ" เขาเล่าถึงประสบการณ์ชีวิต ที่โชกโชน ผจญภัย กล้าเสี่ยงของเขาให้ฟังด้วยท่าทีกวนๆ

เมื่อภาระหน้าที่การงานที่ผ่านมาตลอดกับชีวิตของเขาหมดลง ทางข้างหน้าก็คือความท้าทายใหม่ในชีวิตผู้ชายคนนี้ กับการเดินทางครั้งใหม่ เส้นทางที่ไกลที่สุดในชีวิต ดร.โบ



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.