"NPC" รุกธุรกิจ ปิโตรเคมีต่อเนื่อง เตรียมทุ่ม 400 ล้านดอลลาร์หรือ
1.6 หมื่นล้านบาท ผุดโครงการผลิตเม็ดพลาสติก LDPE/LLDPE และฟีนอล หวังให้เสร็จทันช่วงวัฏจักรปิโตรเคมีขาขึ้น
คาดดำเนินการก่อสร้างแล้ว เสร็จปลายปี 49 พร้อมตั้งเป้ารายได้ปีนี้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า
20%
วานนี้ (24 ก.พ.) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) ลงนามบันทึกความเข้าใจในการซื้อขายก๊าซอีเทนเพิ่มเติมกับบริษัท
ปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NPC) โดยปตท.จะศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับปรุงโรงแยกก๊าซหน่วยที่
2 และ 3 ทำให้มีอีเทน เพิ่มขึ้นอีก 3.9-5 แสนตันต่อปี ป้อนให้กับ NPC ในการผลิตโครงการปิโตรเคมีต่อเนื่อง
นายวิโรจน์ มาวิจักขณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด
(มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯมีแผนการลงทุนในโครงการปิโตรเคมีต่อเนื่องคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ
400 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาทภายใน 3 ปีข้างหน้า โดยแหล่งเงินทุนมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน
เพราะปัจจุบันอัตราหนี้สินต่อทุนของบริษัทอยู่ในสัดส่วนที่ต่ำ ทำให้มีความสามารถในการกู้ยืมอีกมาก
ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนในโครงการขยายกำลังการผลิตเอทิลีน ขนาด
4 แสนตันและโครงการผลิตโพลิเอทิลีนชนิดความหนาแน่นต่ำ (LDPE/LLDPE) 4 แสนตัน ซึ่งเป็นโครงการปิโตรเคมีขั้นปลาย
ใช้เงินลงทุนรวม 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะดำเนินการ ก่อสร้างภายในปีนี้ และแล้วเสร็จในไตรมาส
4/2549 สอดรับกับโครงการปรับปรุงโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 2 และ 3 แล้วเสร็จ
โครงการดังกล่าวจะเป็นการร่วมทุนระหว่าง NPC กับปตท. ซึ่งเป็นบริษัทแม่คาดว่าจะได้ผลสรุปการศึกษาอีก
4 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม หากปตท.ตัดสินใจไม่ร่วมทุน ทาง NPC ยืนยันที่จะดำเนินการต่อไปเพราะโครงการดังกล่าวเป็น
การเพิ่มมูลค่าเอทิลีน รวมทั้งในช่วงเวลาดังกล่าว อุตสาหกรรมปิโตรเคมีอยู่ในจังหวะราคาขาขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯยังเตรียมลงทุนในโครงการผลิตฟีนอล ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทในเครือปตท.
โดยบริษัทฯจะใช้เงินลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 50 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ ซึ่งขณะนี้โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการศึกษา
คาดได้ข้อสรุปอย่างช้ากลางปีนี้
นายวิโรจน์ กล่าวต่อไปว่า จากการขยายโครงการปิโตรเคมีขั้นต่อเนื่อง ทำให้มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น
ดังนั้น บริษัทฯจึงร่วมทุนกับปตท.ตั้งบริษัทร่วมทุนผลิตไฟฟ้าขึ้น โดยเบื้องต้นจะผลิตไฟฟ้าประมาณ
35 เมกะวัตต์ หลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 70 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนประมาณ 200
ล้านบาท และมีความเป็นไปได้ที่ธุรกิจไฟฟ้าของ NPC จะเข้าไปอยู่ในบริษัทร่วมทุนดังกล่าวด้วย
ซึ่งปัจจุบันโรงไฟฟ้าของ NPCมีกำลังการผลิต 170 เมกะวัตต์ โดยกระแสไฟฟ้าที่ผลิตไฟฟ้า
บริษัทจะใช้เองประมาณ 9% ส่วนที่เหลือจะนำไปใช้ในบริษัทต่างๆในเครือ ปตท.
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2547 คาดว่าจะมีรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 20% เมื่อเทียบจากปี
2546 เนื่องจากราคาโอเลฟินส์ในปีนี้อยู่ในเกณฑ์ ที่สูงกว่าปีที่แล้ว หรือเฉลี่ยตันละ
600 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ปี 2546 ราคาโอเลฟินส์อยู่ที่ 512 เหรียญสหรัฐ เป็นผลมาจากความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้น
หลังจากจีนมีคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่ม และราคาแนฟธา ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน
นอกจากนี้ บริษัทฯจะรับรู้รายได้จากโครงการผลิตโพลิเอทิลีนชนิดความหนาแน่นสูง
(HDPE) ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จในปีนี้ ซึ่งขณะนี้ราคาเม็ดพลาสติกPE
อยู่ที่ตันละ 900 เหรียญสหรัฐ สูงกว่าปีก่อนที่อยู่ระดับ 700 เหรียญสหรัฐต่อตัน
เครือปตท.จับมือผุดคิวมีน/ฟีนอล
นายไพบูลย์ ปัญญวุฒิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด
(มหาชน) (ATC) กล่าวว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯอนุมัติให้บริษัทฯขยายธุรกิจในอุตสาหกรรมขั้นต่อเนื่องโดยการเข้าร่วมทุนโครงการ
ผลิตสาร Cumene/Phenol กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปิโตรเคมีแห่งชาติ
จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยโอเลฟินส์ จำกัด (มหาชน)โดยมี ปตท. เป็นแกนนำ โดยถือหุ้นใหญ่
40% ที่เหลือถือหุ้นรายละ 20%
โครงการดังกล่าวจะผลิต Phenol 200,000 ตันต่อปี และ Acetone 125,000 ตันต่อปี
ใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแหล่งเงินลงทุนเฉพาะบริษัทฯจะมาจากกระแสเงินสดภายใน
ATC เอง
สำหรับผลตอบแทนการลงทุนโครงการฯ ประมาณ 18% และมีระยะเวลาคืนทุนประมาณ 5 ปี และเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ประมาณไตรมาสที่
2 ปี 2550 โครงการฯนี้จะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ Benzene ของบริษัทฯ
โดยการนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต Cumene/Phenol ดังกล่าว