หุ้นไทยคลายกังวล หลังสถานการณ์หวัดนกเริ่มคลี่คลาย ดัชนีเดินหน้า 20.90 จุด
เพิ่ม 2.94% ทะลุ 730 จุด ด้วยวอลุ่มกว่า 2.68 หมื่นล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ
931 ล้านบาท หุ้นใหญ่ขึ้นยกแผง ขณะที่กลุ่มสื่อสาร-พลังงานโดดเด่น เทเลคอม เอเซีย
(TA) พุ่ง 18% หลังข่าวแพร่สะพัดกลุ่มชินฯจ้องเข้าเทกโอเวอร์ คาดวันนี้ดัชนีมีโอกาสขึ้นทดสอบ
740 จุด แต่ระวังแรงเทขายทำกำไรช่วงสั้น ขณะที่ "วิจิตร สุพินิจ" เตรียมถกโบรกฯหารือการวางหลักประกัน
10% จะทันกำหนด 1 เม.ย.หรือไม่ ระบุไข้หวัดนกเป็นผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น
ความเคลื่อนไหวการลงทุนตลาดหลักทรัพย์วานนี้(9 ก.พ.)ภาพรวมฟื้นตัวขึ้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ
เดินหน้าบวกตลอดวันโดยมาปิดตลาด ที่ 732.05 จุด เพิ่มขึ้น 20.90 จุด หรือ 2.94%
ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของวัน ด้วยมูลค่าซื้อขายรวม 26,817.22 ล้านบาท หุ้นกลุ่มที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด
ได้แก่ สื่อสาร ขนส่ง และเงินทุนหลักทรัพย์ ขณะที่กลุ่มสื่อสาร-พลังงาน มีการซื้อขายคึกคัก
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน
กล่าวว่า สาเหตุที่ดัชนีปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรงวานนี้ เนื่องจากนัก ลงทุนคลายความกังวลหวัดนก
หลังจากยืนยันว่าเชื้อยังไม่สามารถแพร่ไปยังหมูได้ ส่งผลตลาดฯ ฟื้นตัวซึ่งเป็นการดีดกลับทั้งภูมิภาค
ทั้งนี้ มีแรงซื้อหนาแน่นในช่วงปลายตลาดฯ ส่งผลให้ดัชนียืนเหนือแนวต้าน 730 จุด
ได้ ดังนั้นจึงมองว่าดัชนีจะปรับตัวขึ้นได้ต่อวันนี้ (10 ก.พ.) อย่างไรก็ตาม ควรระวังแรงขายทำกำไรที่
740 จุด ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดเดิม โดยเฉพาะหุ้นที่ปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรง เช่น
กลุ่มสื่อสาร ที่อาจมีแรงขายทำกำไรได้ระยะสั้น โดยเฉพาะหุ้น เทเลคอมเอเซีย คอร์ปอเรชั่น
(TA) ที่มีกระแสข่าวว่ากลุ่มชินวัตร เตรียมเทกโอเวอร์ไม่น่าเป็นไปได้ โดยกรอบการเคลื่อนไหว
ดัชนีราคาหุ้นวันนี้อยู่ที่ 725-740 จุด
สำหรับการซื้อขายรายกลุ่ม ปรากฏว่า นักลงทุน รายย่อยขายสุทธิ 725.24 ล้านบาท
สถาบันขายสุทธิ 205.58 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 930.81 ล้านบาท
หุ้นเทเลคอม เอเซีย คอร์ปอเรชั่น (TA) ซื้อขายวานนี้โดดเด่น โดยปิดตลาด 9.80
บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 18.07% ด้วยมูลค่าซื้อขายหนาแน่นอันดับ 1 ที่ 1,430.10
ล้านบาท แหล่งข่าววงการหลักทรัพย์ กล่าวว่า สาเหตุที่หุ้น TA มีแรงซื้อหนาแน่น
และราคาปรับเพิ่มขึ้นแรง เนื่องจากบริษัทหลักทรัพย์ เครดิต สวิส เฟิร์สท์ บอสตัน
(ประเทศไทย) (CSFB) ออกบทวิเคราะห์แนะนำซื้อหุ้น TA โดยให้ราคาเป้าหมายปีนี้ถึง
18 บาทซึ่งคาดการณ์ว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์ หากยกเลิกเก็บค่าเชื่อมต่อวงจร แต่จะเปลี่ยนเป็นเก็บค่าเชื่อมโยงโครงข่ายแทน
เพื่อรองรับการเปิดเสรีโทรคมนาคม ตามกฎองค์การ การค้าโลก (WTO)
ปัจจุบัน ทีเอถือหุ้นใหญ่ทีเอออเร้นจ์ ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีเลขหมายอยู่ประมาณ
2 ล้านเลขหมาย และต้องเสียค่าเชื่อมต่อวงจรเลขหมาย ละ 200 บาทต่อเดือน นอกจากนั้น
ยังมีกระแสข่าวว่า กลุ่มชินคอร์ปอเรชั่น มีแผนจะซื้อหุ้นใหญ่ TA เพื่อประโยชน์ในการเข้าถือหุ้น
บมจ.ยูไนเต็ด บรอดคาสติ้ง คอร์ปอเรชั่น (UBC) และทีเอออเรนจ์
โดยหากกลุ่มชินวัตรได้ยูบีซี จะทำให้กลุ่มชินคอร์ปอเรชั่นสามารถต่อยอดธุรกิจได้
เนื่องจากยูบีซี มีแผนจะทำอินเตอร์แอคทีฟ ซึ่งสามารถใช้ดาวเทียม ชิน แซทเทลไลท์
(SATTEL) ได้ ส่วนการถือหุ้นในทีเอออเร้นจ์จะทำให้กลุ่มนี้ ฐานลูกค้าโทรศัพท์มือถือ
เพิ่มขึ้น
ขณะที่นายจักกริช เจริญเมธาชัย ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอบี
ให้ความเห็นว่า ก.พ. นี้ หุ้นกลุ่มสื่อสารจะโดดเด่น เนื่องจากมีความคืบหน้าเรื่องการพิจารณาคัดเลือกคณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งชาติ
(กทช.) ซึ่งปัจจุบันเหลือ 14 คน และกำลังจะคัดเลือกให้เหลือเพียง 7 คนภายในเดือนนี้
อย่างไรก็ตาม ส่วนการยกเลิกค่าเชื่อมต่อวงจร คาดว่าคงจะไม่ยกเลิกฟรีๆ แต่น่าจะเหมาจ่าย
เพราะ กสทไม่ต้องการสูญเสียรายได้ ซึ่ง บล.ไอบีให้ราคาเป้าหมายหุ้น TA ปีนี้ 15
บาท หากได้รับยกเลิกค่าเชื่อมต่อวงจร โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย แต่หากต้องเหมาจ่าย
ต้องปรับประมาณการใหม่อีกครั้ง
นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.)
วรรณ กล่าววานนี้ว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ผันผวนขาขึ้น เนื่องจากวันศุกร์ที่ผ่านมา
ดัชนีตลาดฯ ร่วงลงลึกโดย ไม่มีเหตุผลรองรับเพียงพอ นักลงทุนจึงกลับเข้าซื้อ แรงซื้อส่วนใหญ่
อยู่กลุ่มสื่อสาร พลังงาน และชิปปิ้ง
แนวโน้มตลาดฯ สัปดาห์นี้ คาดว่าควรจะปรับตัวดีขึ้นกว่าสัปดาห์ที่แล้ว สำหรับสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้
คาดว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว และจะไม่มีผลต่อการลงทุนตลาดหุ้นไทย
ส่วนมูลค่าซื้อขายในตลาดฯ ขณะนี้ ถือว่าเหมาะสมแล้ว
ด้านนายพิชัย กิจเพิ่มทรัพย์ หัวหน้าฝ่ายวิจัย บลจ. วรรณ เผยว่าปีนี้ ตลาดหุ้นไทยมีสิทธิผันผวน
เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศ กลุ่มที่เพิ่มน้ำหนักการลงทุน (over weight) ตลาดหุ้นไทย
เมื่อไม่มั่นใจการลงทุนในตลาดหุ้น อาจปรับพอร์ตลงทุน จนทำให้นักลงทุนรายย่อยปรับตัว
ขายตาม กรณีไข้หวัดนกในไก่ หากรัฐควบคุมได้เร็ว ผลกระทบต่อตลาดฯ จะน้อยมาก คาดว่าจะมีผลกระทบมูลค่าส่งออกไก่แช่แข็ง
คิดเป็นเพียง 0.7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ในประเทศ ขณะที่ปศุสัตว์และการแปรรูป
จะกระทบจีดีพี 2.3% และรายได้ท่องเที่ยว จะกระทบจีดีพี 4.8%
นายวิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ภายในวันนี้
(10 ก.พ.) ตลาดหลักทรัพย์ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.) และบริษัทสมาชิก (โบรกเกอร์)จะมีการหารือเพื่อสรุปความคืบหน้าการเตรียมระบบเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นแบบหักชำระราคาในหุ้นตัวเดียวและวันเดียวกัน(เน็ตเซตเทิลเมนต์)
จากเดิมที่กำหนด ว่าจะต้องวางหลักประกันในการซื้อขาย 10% โดยจะเริ่มในวันที่ 1
เมษายน 2547 นั้น จะมีการหารือและรับฟังความเห็นของโบรกเกอร์ต่างๆ ว่าในทางปฏิบัติแล้วจะสามารถทำได้หรือไม่
โดยจะพิจารณาถึงองค์ประกอบเรื่องความพร้อมของซอฟต์แวร์ควบคู่กันไปด้วย
"ในการประชุมจะมีการหารือกับโบรกเกอร์ ว่าเขามีความคิดเห็นเป็นอย่างไร ซึ่งในขั้นตอนสุดท้ายนั้นจะแตกต่างจากนโยบายเดิมหรือไม่นั้นจะต้องดูอีกที
ซึ่งได้คุยกับเลขาธิการ ก.ล.ต.ไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ขอยืนยันตามกำหนดการเดิมไปก่อน
ก่อนที่จะได้หารือกัน แต่ในความประสงค์ ของ ก.ล.ต.แล้ว ต้องการที่จะใช้มาตรการนี้พร้อมกันทั้งหมด
ดีกว่าที่จะพิจารณาเป็นรายๆ ไป แต่ถ้ามีบางรายที่ยังไม่พร้อมก็ต้องหารือว่าจะยืดเวลาให้เป็นรายๆ
ไปหรือไม่" นายวิจิตร กล่าว
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวคงจะไม่ส่งผลกระทบต่อการซื้อขายหุ้น เพราะไม่ได้เป็นปัจจัยกดดันดัชนีแต่อย่างใด
แต่น่าจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนมากขึ้น
นอกจากนี้ ในการประชุมจะมีการหารือถึงเรื่องโบรกเกอร์ที่ชี้นำการเล่นหุ้นให้กับนักลงทุนด้วย
ซึ่งโบรกเกอร์จะต้องเป็นผู้ที่พยายามตักเตือนนักลงทุนเท่านั้น ไม่ใช่ไปชี้นำนักลงทุน
ซึ่งเรื่องดังกล่าวได้มีมาตรการในการดูแลอยู่แล้ว
"การที่โบรกเกอร์แนะนำให้นักลงทุนเล่นหุ้นทำกำไรช่วงสั้นมาก เพราะตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนสูง
อย่าเต้นตามภาวะตลาดโดยแนะให้ขาย ขาดทุนเพราะปัจจัยลบเกิดขึ้นแค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น
ถ้าเป็นกรณีสถานการณ์ตลาดเลวร้ายเป็นเวลานาน ก็มีเหตุผลพอฟังได้ว่าต้องแนะขาย แต่นี้เศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาขึ้น
เห็นว่าระยะยาวตลาดหุ้นไทยไปได้ต่อ ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นเราโตเร็วในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม"
สำหรับกรณีการระบาดของไข้หวัดนก นายวิจิตร กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในขณะนี้ค่อนข้างมั่นคง
แต่อาจจะมีผลกระทบทางด้านจิตใจกับนักลงทุนในบางขณะเท่านั้น
"ผลกระทบต่อจีดีพี โดยส่วนตัวมองว่าจะอยู่ที่ประมาณ 0.1%-0.2% คิดว่าคงไม่มีผลกระทบสูงถึง
0.7%-0.8% แน่ มันมากเกินไปที่จะไปถึงขนาดนั้น เศรษฐกิจของไทยใหญ่มาก ภาคการเกษตรเป็นเพียง
ภาคเล็กๆ เท่านั้นเมื่อเทียบกับภาคอื่น ๆ และที่ผ่านมารัฐบาลก็ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่อย่างเต็มที่อยู่แล้ว
ซึ่งเชื่อว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะจำกัดเฉพาะวงแคบและระยะสั้นเท่านั้น" นายวิจิตร
กล่าว