หุ้นน้องใหม่แกรนด์ แอสเสทหวั่นภาวะตลาดผันผวนกระทบราคาหุ้น ขอเลื่อนเข้าเทรดจากเดิมกำหนดวันที่
5 ก.พ. เป็นวันที่ 10 ก.พ. ขณะที่บริษัทอารียา พรอพ-เพอร์ตี้ยื่นไฟลิ่งขอกระจายหุ้นประชาชนทั่วไป
78.5 ล้านหุ้น
แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทาง การเงินหุ้นบริษัทแกรนด์
แอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (GRAND) เปิดเผยว่า หุ้นบริษัท แกรนด์ แอสเสทได้เลื่อนการเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
จากเดิมที่จะเข้าซื้อขายในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2547 เนื่อง
จากภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวนในช่วงที่ผ่านมา เพราะได้รับผลกระทบจากไข้หวัดนก ดังนั้น
จึงเกรงว่าเมื่อหุ้นเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์จะได้รับผลกระทบเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หุ้นบริษัทแกรนด์ แอสเสทถือว่าเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก
ซึ่งในช่วงที่กระจายหุ้นนั้นปรากฏว่ามีความต้องการของนักลงทุนสถาบันแสดงความสนใจมากกว่าจำนวนหุ้นที่กระจายจำนวน
6 เท่า
นายพงษ์พันธ์ สัมภวคุปต์ ประธานกรรมการ บริษัท แกรนด์ แอสเสท ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด
เปิดเผยว่า หุ้นบริษัทจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2547
โดยจะใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ในการซื้อขายว่า GRAND เงินที่ได้จากการเพิ่มทุนจำนวน
727.50 ล้านบาทจะนำไปสำหรับการลงทุนก่อสร้างโครงการใหม่ และเป็นเงินทุน หมุนเวียนของบริษัทต่อไป
บริษัทแกรนด์ แอสเสทเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปจำนวน 150 ล้านหุ้น
มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาทในราคาเสนอขายหุ้นละ 4.85 บาท โดยได้เสนอขายหุ้นเมื่อวันที่
22-23 และ 26 มกราคม 2547 ที่ผ่านมา
รายงานจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่าเมื่อวันที่
2 กุมภาพันธ์ 2547 สำนักงาน ก.ล.ต.ได้เริ่มนับหนึ่งแบบรายการแสดงข้อมูล(ไฟลิ่ง)หุ้นบริษัทอารียา
พรอพเพอร์ตี้ ที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาติเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ปัจจุบันบริษัทอารียา พรอพเพอร์ตี้มีทุนจดทะเบียน 758.0 ล้านบาท ทุนชำระแล้วมูลค่าทั้งสิ้น
601.0 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 300.5 ล้านหุ้นมูลค่าที่ตราไว้(พาร์)หุ้นละ 2
บาท ซึ่งบริษัทจะเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปจำนวน 78.5 ล้านหุ้นหรือ 20.71% เพื่อนำเงินไปชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงินและใช้เป็นเงินลงทุนในการขยายกิจการ
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปี 2545 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 111.3 ล้านบาท
โดยเป็นรายได้จากการรับจ้างสร้างบ้านจำนวน 105.2 ล้านบาท ส่วนในปี 2546 มีรายได้รวมเท่ากับ
1,015.6 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากการรับจ้างสร้างบ้านจำนวน 246.4 ล้านบาท และบริษัทมีรายได้จากการขายที่ดินและบ้านตัวอย่างเป็นปีแรกจำนวน
765.2 ล้านบาท ส่วนผลกำไรสุทธินั้น ในปี 2545 บริษัทมีกำไรสทธิ 4 ล้านบาทและในปี
2546 มีกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 51.5 ล้านบาท
ด้านโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 อันดับแรกได้แก่ ตระกูลเลาหพูนรังษี ถือหุ้น 38.77%,ตระกูลพรเจริญชัยศิลป์
ถือหุ้น 36.77% และโปรเกรสสีฟ โอปูเลนต์ โฮลดิ้ง(สิงคโปร์)ถือหุ้น 9.98% โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราประมาณ
40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษี