ผู้บริหารบลจ.ชี้ปีนี้ธุรกิจแข่งขัน ดุเดือด เหตุดอกเบี้ยยังต่ำติดดิน แถมแนวโน้มกองทุน
เกิดใหม่เพียบ ส่งผลพนักงานกลายร่างเป็นมนุษย์ทองคำ โดยเฉพาะตัวผู้จัดการกองทุน
งานนี้มีหวังได้เห็นการชิงตัวกันไม่แพ้มาร์เกตติ้งของโบรกเกอร์ ในขณะที่ธุรกิจหลักทรัพย์เองยังไม่ลดความร้อนแรงแม้เจอไข้หวัดนกสกัด และเชื่อเป็นแค่ช่วงสั้นเท่านั้น
ม.ล.ผกาแก้ว บุญเลี้ยง กรรมการอำนวยการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน
(บลจ.) ธนชาติ จำกัด เปิดเผยว่า ธุรกิจจัดการกองทุนรวมปีนี้จะมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงขึ้นเมื่อเทียบกับ
ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกรณีการดึงตัวพนักงาน เนื่องจากปีนี้จะมีผู้ประกอบการบลจ.รายใหม่เกิดขึ้นหลายราย
ในขณะที่จำนวนพนักงานหรือบุคลากรที่สามารถให้บริการได้จริงมีไม่เพียงพอต่อการขยายตัวทางธุรกิจ
ซึ่งการจะฝึกอบรมบุคลากรขึ้นมาใหม่ก็ทำได้ยาก เพราะต้องมีการสอบใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.)
"ปีนี้คาดว่าการแข่งขันเรื่องการหาลูกค้าไม่น่าจะเป็นประเด็นสำคัญ เพราะภาวะการลงทุนในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ระดับต่ำ
แม้จะมีแนวโน้มปรับขึ้นก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และคาด ว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยจะมีการดำเนินการในครึ่งปีหลัง
เชื่อว่าลูกค้าในส่วนของเงินฝากจะหันมาลงทุนในธุรกิจจัดการกองทุนอย่างต่อเนื่อง
แต่ปัญหาที่จะตามมาเมื่อมีบลจ.ใหม่เกิดขึ้นคือการดึงตัวพนักงาน ซึ่งเกรงเหมือนกันว่าจะเกิดปัญหาโบรกเกอร์ในช่วงก่อนหน้านี้โดยเราเองคง
ทำอะไรไม่ได้นอกจากสร้างพนักงานขึ้นมาใหม่" ม.ล.ผกาแก้ว กล่าว
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บลจ. บัวหลวง กล่าวว่าขณะนี้มี บลจ.เกิดใหม่เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะกองทุนหุ้นที่มีการแข่งขันกันมากที่สุดในธุรกิจกองทุน
แต่ต้องยอม รับว่าในแต่ละแห่งก็มีลักษณะการบริหารงานที่แตกต่างกันไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกลุ่มลูกค้า
หรือสินค้าที่นำเสนอ ดังนั้นอาจเกิดปัญหาการดึงตัวบุคลากรขึ้นได้ในอนาคต อย่างไรก็ตามในขณะนี้
คงยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ได้ เนื่องจากปัญหาดังกล่าวยังไม่เกิดขึ้น
"การแย่งชิงพนักงานอาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต แต่ในขณะนี้ยังไม่เห็นเด่นชัดมากเหมือน
กับการแย่งชิงมาร์เกตติ้งของบริษัทหลักทรัพย์ เพราะโบรกเกอร์เป็นธุรกิจที่ขยายตัวรวดเร็วกว่า
บลจ. ขณะเดียวกัน หากจะมีการแย่งชิงตัวพนักงานจริงน่าจะเป็นการแย่งผู้จัดการกองทุนรวมมากกว่า
แต่ทั้งนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของ การแข่งขันในธุรกิจ และท้ายที่สุดต้องขึ้นอยู่กับคนคนนั้นว่าต้องการย้ายเพื่ออะไร
หากย้ายที่ทำ งานแล้วผลตอบแทนเพิ่มขึ้นและอยู่ในฐานะที่รับได้ก็เป็นสิทธิที่เขาจะโยกย้าย"
นางวรวรรณ กล่าว
ด้านนายเรืองวิทย์ นันทาภิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.อยุธยาเจเอฟ กล่าวว่า การเพิ่มขึ้น
ของบลจ.ในปีนี้จะส่งผลให้การแข่งขันในธุรกิจกองทุนมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ขณะที่ปัญหาการดึงตัวบุคลากรจากบลจ.อื่นอาจเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
แต่เชื่อว่าบลจ.ที่จัดตั้งขึ้นใหม่โดยทำธุรกิจด้านหลักทรัพย์มาก่อนคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดึงบุคลากรจากที่อื่นเพราะมีทีมงานที่ค่อนข้างสมบูรณ์อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม บลจ.ใหม่บางแห่งคงต้องมีการดึงตัวบุคลากรจากที่อื่น เนื่องจากไม่มีทีมงานและยังขาดประสบการณ์ซึ่งกรณีดังกล่าวต้องขึ้นอยู่กับตัวพนักงานว่าจะตัดสินใจอย่างไร
เพราะการย้ายงานไปอยู่ที่ใหม่ถึงแม้จะได้รับผลตอบแทนในระดับที่สูงกว่าแต่ความกดดันในการทำงานก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
"การที่ตลาดมีจำนวน บลจ.มากขึ้นจะทำให้ตลาดคึกคักมากขึ้น แต่การทำธุรกิจนั้นต้อง
ดูด้วยว่าถ้าเน้นทำธุรกิจกองทุนรวมก็ต้องออกกองทุนที่มีลักษณะพิเศษ ขณะที่การทำกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบลจ.
ใหม่อาจเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากเพราะกองทุนประเภทนี้ค่าธรรมเนียมต่ำใช้เวลานานกว่าจะคุ้ม
ทุน ถ้าจะทำต้องเป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่มากถึงจะแข่งกับรายเก่าที่ทำอยู่แล้วได้"
นายเรืองวิทย์ กล่าว
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่าขณะนี้ได้รับอนุญาตจากสำนักก.ล.ต.
เพื่อดำเนินการจดทะเบียนเป็นบลจ.แล้วและคาดว่าจะ สามารถเริ่มดำเนินการได้ในไตรมาส
2 ของปีนี้
สำหรับธุรกิจหลักทรัพย์ที่ทางธนาคารได้เปิดดำเนินการมาเป็นระยะเวลา 1 ปีแล้วนั้นสามารถทำกำไรในปี
2546 ได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ส่วนปี 2547 เฉพาะเดือนมกราคมเดือนเดียว ธนาคารมีกำไรจากธุรกิจดังกล่าวไม่ต่ำกว่า
50 ล้านบาท
"ขณะนี้เรามีดีลในการเป็นอันเดอร์ไรเตอร์ อยู่แล้วทุกเดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า
1 ราย ส่วนเป้าหมายที่เราตั้งไว้ในปีนี้คือไม่ต่ำกว่า 12 ดีล โดยมีลูกค้าทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ"
นายอภิศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ ส่วนมากลูกค้าที่เข้ามาลงทุนในขณะนี้ เป็นลูกค้าของธนาคาร แต่ขณะเดียวกันธนาคารก็กำลังประสบปัญหาในเรื่องของบุคลากรเพราะทางก.ล.ต.มีกฎออกมาว่าห้ามเจ้าหน้าที่การตลาด
(มาร์เกตติ้ง) ย้ายที่ทำงาน จึงทำให้ธนาคารต้องสร้างบุคลากรของตัวเองขึ้นมาใหม่
โดยปัจจุบันมีการใช้พนักงานจากธนาคารเข้ามาช่วยในธุรกิจหลักทรัพย์
อย่างไรก็ดี ธุรกิจหลักทรัพย์ของธนาคารนครหลวงไทยในขณะนี้มีส่วนแบ่งการตลาดหรือ
มาร์เกตแชร์เพียง 0.5% และคาดว่าปลายปีนี้มาร์เกตแชร์จะเพิ่มขึ้นเป็น 1% ส่วนสำนักงานสาขา
ผ่านแบงก์นั้นในไตรมาส 2 จะเปิดให้บริการอีก 4 สาขา โดยสาขาที่จะเปิดเป็นสาขาในเขตกรุงเทพฯทั้งหมดก่อน
จากนั้นค่อยขยายออกไป ยังต่างจังหวัด เพื่อให้ธนาคารเป็นสถาบันการเงิน ที่ครบวงจรตามนโยบายของรัฐบาลที่กำลังดำเนิน
การอยู่ในขณะนี้
ด้านนายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.แอสเซทพลัส จำกัด (มหาชน)
เปิดเผยว่าขณะนี้กระทรวงการคลังได้ให้ความเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.ล.ต.เสนอให้
บล.แอสเซท พลัส จัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนเพื่อประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการ
จัดการกองทุนรวมแล้ว โดยบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ จะต้องมีลักษณะตามที่กำหนดในกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม
พ.ศ. 2545
ธุรกิจโบรกเกอร์ยังไม่ลดความร้อนแรง
นายเฉิน ผิน เชิน กรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด
(มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปีนี้ว่า บล.เคจีไอ จะมีการพัฒนาและรับเจ้าหน้าที่การตลาดเพิ่มเพื่อรองรับการขยายตัวของการลงทุนตลาดหุ้น
ที่คาดว่าปีนี้จะคึกคักกว่าปีที่ผ่านมาแม้จะมีเหตุการณ์ไข้หวัดนกมาชะลอการลงทุนบ้าง
แต่จะเป็นเพียงเหตุการณ์ระยะสั้นเท่านั้น โดยภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังสามารถดึงดูดนักลงทุนทั้งชาวไทย
และต่างประเทศอยู่
"ทางเคจีไอมีแผนจะรับเจ้าหน้าที่การตลาด เพิ่มอีกถึง 30 อัตรา เพื่อขยายฐานลูกค้า
และรักษาอัตราการเติบโตของธุรกิจ ตลอดจนเน้นคุณภาพการให้บริการที่ครบวงจรมากขึ้น
และจะ มีการพัฒนาคุณภาพงานวิจัยด้วย"
นอกจากนี้ บล.เคจีไอยังมีแผนจะพัฒนา คุณภาพงานวิจัยเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับลูกค้า
และจะพัฒนาระบบการซื้อขายหุ้น ผ่านอินเทอร์เน็ตให้มีความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
เพื่อรองรับฐานลูกค้าที่มีรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ทันสมัย และสนองตอบความต้องการของลูกค้า
ให้ครอบคลุมมากที่สุด
นายแอนโจโล คู ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ จำกัด (มหาชน)
เปิดเผยว่า ตามนโยบายที่รัฐบาลต้องการให้สถาบันการเงินต่างๆ ควบรวมกิจการเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้สถาบันการเงินสามารถแข่งขัน
ในระดับประเทศได้ ทางเคจีไอไม่มีความจำเป็นต้องควบรวมกับใคร เนื่องจากขณะนี้การลงทุนในตลาดหุ้นได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก
และบล.เคจีไอมีความแข็งแกร่งทาง การเงินเพียงพอ และมีฐานลูกค้าที่ดี
สำหรับกรณีการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นที่จะเริ่มดำเนินการในปี 2005 นั้นหากมีการเปิดเสรีจริง
อาจจะส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์ที่มีขนาดเล็กอยู่ไม่ได้ ท้ายที่สุดอาจหันมาร่วมธุรกิจกับเคจีไอ
"หาก ก.ล.ต.ตัดสินใจที่จะกำหนดค่าคอมฯ ขั้นต่ำต่อไป ก็จะทำให้บล.เคจีไอได้รับประโยชน์เพราะบล.เคจีไอเป็นบริษัทหลักทรัพย์ขนาดใหญ่
ในตลาดหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม เราเองก็ สนับสนุนเรื่องการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นด้วย"
นายแอนโจโล คู กล่าว
สำหรับแผนการพัฒนาบริษัทในปี 2547 นายแอนโจโล คู เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะเพิ่มประสิทธิภาพความแข็งแกร่งทางด้านวาณิชธนกิจ
(ไอบี) โดยจะนำพนักงานจากสาขาในภูมิภาคเข้ามาช่วยเพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางด้านธุรกิจ
นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลได้ แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะจ่ายได้เมื่อไหร่
ส่วนสถานการณ์ไข้หวัดนกที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าเป็นห่วง
เนื่องจากเชื่อมั่นว่านายกรัฐมนตรีจะสามารถจัดการแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าวได้ในเวลาอันรวด
เร็วอย่างแน่นอน และแม้จะมีสถานการณ์ดังกล่าวตลาดหุ้นไทยก็ยังเป็นตลาดหุ้นที่น่าสนใจลงทุน
ในอันดับที่สามของโลกอยู่