เปิดแผนทหารไทย (TMB) สานฝันใช้เครือข่ายพันธมิตรกลุ่มชินฯ ขึ้นชั้นบิ๊กแบงก์ของประเทศ
ใช้ฐานข้อมูลและจุดแข็งร่วมกัน เผยเฉพาะฐานลูกค้า "ทหารไทย-ดีบีเอส-เอไอเอส"
ในไทยรวมกันถึง 16 ล้านคน แบ่งขอบเขตธุรกิจชัด "บัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคล"
ให้แคปปิตอล โอเค ที่เหลือต้องใช้บริการทางการเงินกับทหารไทยใหม่
การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อควบรวมกิจการระหว่างธนาคารทหารไทยกับธนาคารดีบีเอส
ไทยทนุ เมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่ผ่านมา เป็นสัญญาณการเริ่มต้นที่ทำให้ธนาคาร ทหารไทยมีความหวังในการขึ้นเป็นธนาคารชั้นนำ
ของเมืองไทยที่คู่แข่งมิอาจมองข้าม
ไม่เพียงแค่ธนาคารที่จะมีสินทรัพย์เพิ่มเป็น 6.79 แสนล้าน (หลังควบรวมกับบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
หรือ ไอเอฟซีที ในเดือนก.พ.) แต่มีมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจที่มากกว่า การควบรวมกิจการทั่วไป
ชี้จุดแข็ง"ผู้ถือหุ้น-พันธมิตร"
แหล่งข่าวธนาคารทหารไทย ยืนยันว่าการควบรวม 3 สถาบันการเงินเข้าด้วยกันด้วยความ
เต็มใจทำให้ธนาคารทหารไทยใหม่มีฐานะทางการเงินและทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยอมรับว่าผู้ถือหุ้นและพันธมิตรเป็นจุดแข็งของธนาคารทหารไทยยุคใหม่
"โอกาสที่การทำธุรกิจของธนาคารทหาร ไทยใหม่จะมีรูปแบบการขยายธุรกิจที่ชัดเจน
โดยเฉพาะการบุกตลาดรายย่อย เพราะธนาคาร ดีบีเอส ไทยทนุ มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้
ขณะเดียว เมื่อผนวกกับบริษัท แคปปิตอล โอเค แล้วเราจะมีฐานลูกค้าที่มากที่สุด เพราะฐานลูกค้าของแคปปิตอล
โอเคมีอย่างน้อย 12 ล้านคนที่เป็นลูกค้าโทรศัพท์มือถือของบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์
เซอร์วิส (AIS)ส่วนทหารไทย กับดีบีเอส ไทยทนุ มีลูกค้าที่เป็นบุคคลธรรมดา และลูกค้าธุรกิจรวมกันอีก
4 ล้านราย"
จากนี้ไปธนาคารทหารไทยจะเน้นความร่วมมือกับพันธมิตรให้มากที่สุด โดยใช้ฐานข้อมูล
ฐานลูกค้าและจุดแข็งเสริมซึ่งกันและกันระหว่างธนาคารทหารไทย กลุ่มชินฯ ดีบีเอส
สิงคโปร์และแคปปิตอล โอเค เป็นการเชื่อมโยงด้วยโครงสร้างผู้ถือหุ้น เนื่องจากนายพานทองแท้
ชินวัตร ถือหุ้นในธนาคารทหารไทย ขณที่ดีบีเอส สิงคโปร์ถือหุ้นในแคปปิตอล โอเค
ทั้งนี้ แคปปิตอล โอเคร่วมทุนระหว่าง บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น ในสัดส่วน 60% และธนาคารดีบีเอสสิงคโปร์อีก
40%
"เราจะแชร์ลูกค้าทั้งเครือ โดยจะแยกให้บริการทางการเงินแต่ละบริษัทให้ชัดเจน
เช่น แคปปิตอล โอเคให้บริการสินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิต ดังนั้นบริการทางการเงินอื่นๆ
จะเป็นของธนาคารทหารไทย" ไอเอฟซีทีเติมอุตสาหกรรม
นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และว่าที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO)
ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า การรวมกิจการจะทำให้ธนาคารทหารไทยได้รับประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของกลุ่มดีบีเอส
ทั้งในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน (Financial Products) การบริหารความเสี่ยง
(Risk Management)และเทคโนโลยีโครงสร้างขั้นพื้นฐานในการปฏิบัติการที่ก้าวหน้า
ส่วนไอเอฟซีทีถือเป็นสถาบันการเงินที่มีมาตรฐาน นอกจากครอบครอง ลูกค้าอุตสาหกรรมแล้วผู้บริหารและพนักงานเป็นมืออาชีพ
แหล่งข่าวธนาคารทหารไทย เปิดเผยว่า จากการเข้าไปประชุมร่วมกับคณะกรรมการและผู้บริหารไอเอฟซีที
พบว่า จุดแข็งของไอเอฟซีทีไม่เพียงแต่มีฐานลูกค้าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และหลักประกันสินเชื่อเท่านั้น
ลูกค้าเอสเอ็มอีหรือสินเชื่อที่วงเงินไม่เกิน 200 ล้านบาท ยังเป็นลูกค้าที่มีศักยภาพของอุตสาหกรรมประเทศ
โดยคิดเป็น 70% ของพอร์ต 200,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ของไอเอฟซีทีที่ต้องแก้ไขคือ ข้อจำกัดในการระดมเงินฝากจึงต้องหันไประดมเงินจากต่างประเทศ
ทำให้มีภาระการเสียดอกเบี้ยที่มาก ปัจจุบันไอเอฟซีทีมีต้นทุนในส่วนนี้ประมาณ 3.2%
ขณะที่ธนาคาร ทหารไทยมีต้นทุนประมาณ 1.2% จึงต้องลดต้นทุนโดยใช้การระดมเงินฝากเพื่อให้ต้นทุนเฉลี่ยลดลง
"ทหารไทยเก่งเงินฝาก ดังนั้น การหาเงินฝากแสนล้านบาท ไม่เกิน 1 เดือนก็หาได้แล้ว
เงินส่วนนี้หากนำไปไถ่ถอนหนี้ของไอเอฟซีทีต้นทุนจะลดทันที"
ทั้งนี้ ฐานะทางการเงินธนาคารทหารไทยมีสินทรัพย์ 379,000 ล้านบาท สินเชื่อ 301,000
ล้านบาท เงินฝาก 322,000 ล้านบาท สาขา 365 แห่ง ส่วนดีบีเอส ไทยทนุ มีสินทรัพย์
101,000 ล้านบาท สินเชื่อ 82,000 ล้านบาท เงินฝาก 81,000 ล้านบาท สาขา 61 แห่ง
จากการควบรวมแค่ 2 ธนาคารจะทำให้กลายเป็นธนาคารที่มีเงินกองทุนรวม 10.8% หนี้เสีย
(NPL) เหลือ 10% ขณะที่กันสำรองNPLสูงถึง 89.4%
"การควบรวมครั้งนี้นับเป็น Deal of the Year เพราะไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน
ที่ผ่านมาเป็นการครอบงำกิจการ (Take over) ขณะที่ครั้งนี้เป็นการควบรวมที่อยู่บนพื้นฐานความสมัครใจ
ให้เกียรติกัน มีความเห็นอกเห็นใจกัน ทำให้การรวมแล้วที่มีความสุข ประการ ต่อมารวมแล้วมีมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้น
สุดท้ายยังเป็นการตอบสนองนโยบายแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Masterplan)
เรียกได้ว่า Win Win Win แต่ยอมรับว่าเป็นการควบรวมที่ทุกคนเฝ้ามองอยู่ ผมจึงต้องทำให้ธนาคารทหารไทยสูงขึ้นไม่ใช่เตี้ยลง คอยดูภายใน 1 ปีธนาคารทหารไทยจะยิ่งใหญ่" นายสุภัคกล่าว