ผ่ายุทธศาสตร์TMBใหม่ใช้เครือชินฯขึ้นบิ๊กแบงก์


ผู้จัดการรายวัน(2 กุมภาพันธ์ 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

เปิดแผนทหารไทย (TMB) สานฝันใช้เครือข่ายพันธมิตรกลุ่มชินฯ ขึ้นชั้นบิ๊กแบงก์ของประเทศ ใช้ฐานข้อมูลและจุดแข็งร่วมกัน เผยเฉพาะฐานลูกค้า "ทหารไทย-ดีบีเอส-เอไอเอส" ในไทยรวมกันถึง 16 ล้านคน แบ่งขอบเขตธุรกิจชัด "บัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคล" ให้แคปปิตอล โอเค ที่เหลือต้องใช้บริการทางการเงินกับทหารไทยใหม่

การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อควบรวมกิจการระหว่างธนาคารทหารไทยกับธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ เมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่ผ่านมา เป็นสัญญาณการเริ่มต้นที่ทำให้ธนาคาร ทหารไทยมีความหวังในการขึ้นเป็นธนาคารชั้นนำ ของเมืองไทยที่คู่แข่งมิอาจมองข้าม

ไม่เพียงแค่ธนาคารที่จะมีสินทรัพย์เพิ่มเป็น 6.79 แสนล้าน (หลังควบรวมกับบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ไอเอฟซีที ในเดือนก.พ.) แต่มีมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจที่มากกว่า การควบรวมกิจการทั่วไป

ชี้จุดแข็ง"ผู้ถือหุ้น-พันธมิตร"

แหล่งข่าวธนาคารทหารไทย ยืนยันว่าการควบรวม 3 สถาบันการเงินเข้าด้วยกันด้วยความ เต็มใจทำให้ธนาคารทหารไทยใหม่มีฐานะทางการเงินและทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยอมรับว่าผู้ถือหุ้นและพันธมิตรเป็นจุดแข็งของธนาคารทหารไทยยุคใหม่

"โอกาสที่การทำธุรกิจของธนาคารทหาร ไทยใหม่จะมีรูปแบบการขยายธุรกิจที่ชัดเจน โดยเฉพาะการบุกตลาดรายย่อย เพราะธนาคาร ดีบีเอส ไทยทนุ มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ ขณะเดียว เมื่อผนวกกับบริษัท แคปปิตอล โอเค แล้วเราจะมีฐานลูกค้าที่มากที่สุด เพราะฐานลูกค้าของแคปปิตอล โอเคมีอย่างน้อย 12 ล้านคนที่เป็นลูกค้าโทรศัพท์มือถือของบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (AIS)ส่วนทหารไทย กับดีบีเอส ไทยทนุ มีลูกค้าที่เป็นบุคคลธรรมดา และลูกค้าธุรกิจรวมกันอีก 4 ล้านราย"

จากนี้ไปธนาคารทหารไทยจะเน้นความร่วมมือกับพันธมิตรให้มากที่สุด โดยใช้ฐานข้อมูล ฐานลูกค้าและจุดแข็งเสริมซึ่งกันและกันระหว่างธนาคารทหารไทย กลุ่มชินฯ ดีบีเอส สิงคโปร์และแคปปิตอล โอเค เป็นการเชื่อมโยงด้วยโครงสร้างผู้ถือหุ้น เนื่องจากนายพานทองแท้ ชินวัตร ถือหุ้นในธนาคารทหารไทย ขณที่ดีบีเอส สิงคโปร์ถือหุ้นในแคปปิตอล โอเค

ทั้งนี้ แคปปิตอล โอเคร่วมทุนระหว่าง บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น ในสัดส่วน 60% และธนาคารดีบีเอสสิงคโปร์อีก 40%

"เราจะแชร์ลูกค้าทั้งเครือ โดยจะแยกให้บริการทางการเงินแต่ละบริษัทให้ชัดเจน เช่น แคปปิตอล โอเคให้บริการสินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิต ดังนั้นบริการทางการเงินอื่นๆ จะเป็นของธนาคารทหารไทย" ไอเอฟซีทีเติมอุตสาหกรรม

นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และว่าที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า การรวมกิจการจะทำให้ธนาคารทหารไทยได้รับประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของกลุ่มดีบีเอส ทั้งในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน (Financial Products) การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)และเทคโนโลยีโครงสร้างขั้นพื้นฐานในการปฏิบัติการที่ก้าวหน้า ส่วนไอเอฟซีทีถือเป็นสถาบันการเงินที่มีมาตรฐาน นอกจากครอบครอง ลูกค้าอุตสาหกรรมแล้วผู้บริหารและพนักงานเป็นมืออาชีพ

แหล่งข่าวธนาคารทหารไทย เปิดเผยว่า จากการเข้าไปประชุมร่วมกับคณะกรรมการและผู้บริหารไอเอฟซีที พบว่า จุดแข็งของไอเอฟซีทีไม่เพียงแต่มีฐานลูกค้าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และหลักประกันสินเชื่อเท่านั้น ลูกค้าเอสเอ็มอีหรือสินเชื่อที่วงเงินไม่เกิน 200 ล้านบาท ยังเป็นลูกค้าที่มีศักยภาพของอุตสาหกรรมประเทศ โดยคิดเป็น 70% ของพอร์ต 200,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ของไอเอฟซีทีที่ต้องแก้ไขคือ ข้อจำกัดในการระดมเงินฝากจึงต้องหันไประดมเงินจากต่างประเทศ ทำให้มีภาระการเสียดอกเบี้ยที่มาก ปัจจุบันไอเอฟซีทีมีต้นทุนในส่วนนี้ประมาณ 3.2% ขณะที่ธนาคาร ทหารไทยมีต้นทุนประมาณ 1.2% จึงต้องลดต้นทุนโดยใช้การระดมเงินฝากเพื่อให้ต้นทุนเฉลี่ยลดลง

"ทหารไทยเก่งเงินฝาก ดังนั้น การหาเงินฝากแสนล้านบาท ไม่เกิน 1 เดือนก็หาได้แล้ว เงินส่วนนี้หากนำไปไถ่ถอนหนี้ของไอเอฟซีทีต้นทุนจะลดทันที"

ทั้งนี้ ฐานะทางการเงินธนาคารทหารไทยมีสินทรัพย์ 379,000 ล้านบาท สินเชื่อ 301,000 ล้านบาท เงินฝาก 322,000 ล้านบาท สาขา 365 แห่ง ส่วนดีบีเอส ไทยทนุ มีสินทรัพย์ 101,000 ล้านบาท สินเชื่อ 82,000 ล้านบาท เงินฝาก 81,000 ล้านบาท สาขา 61 แห่ง จากการควบรวมแค่ 2 ธนาคารจะทำให้กลายเป็นธนาคารที่มีเงินกองทุนรวม 10.8% หนี้เสีย (NPL) เหลือ 10% ขณะที่กันสำรองNPLสูงถึง 89.4%

"การควบรวมครั้งนี้นับเป็น Deal of the Year เพราะไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน ที่ผ่านมาเป็นการครอบงำกิจการ (Take over) ขณะที่ครั้งนี้เป็นการควบรวมที่อยู่บนพื้นฐานความสมัครใจ ให้เกียรติกัน มีความเห็นอกเห็นใจกัน ทำให้การรวมแล้วที่มีความสุข ประการ ต่อมารวมแล้วมีมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้น สุดท้ายยังเป็นการตอบสนองนโยบายแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Masterplan) เรียกได้ว่า Win Win Win แต่ยอมรับว่าเป็นการควบรวมที่ทุกคนเฝ้ามองอยู่ ผมจึงต้องทำให้ธนาคารทหารไทยสูงขึ้นไม่ใช่เตี้ยลง คอยดูภายใน 1 ปีธนาคารทหารไทยจะยิ่งใหญ่" นายสุภัคกล่าว



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.