ลิปเปอร์ยกกองทุนรวมไทยให้ผลตอบแทนสูงสุดในเอเชียในรอบปีที่ผ่านมา ขณะที่ กองทุนรวมไต้หวันติดอันดับโหล่สุด
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังเข้าขั้นดี เพียงแต่ต้องระวังสถานการณ์ไข้หวัดนก
จากผลการสำรวจของลิปเปอร์บริษัทจัดอันดับ ความน่าเชื่อถือกองทุน ระบุว่าในปีที่ผ่านมา
กองทุน รวมไทยให้ผลตอบแทนสูงสุดถึง 79% ตามด้วยอินโดนีเซีย 70.8% และจีนแผ่นดินใหญ่เกือบ
63%
อย่างไรก็ตาม แม้ประสบความสำเร็จงดงาม ทว่า กองทุนรวมของไทยยังไม่สามารถสะท้อนความ
รุ่งโรจน์ของดัชนีเซ็ตที่พุ่งขึ้นถึง 117% ในปี 2003 และทำให้ตลาดหุ้นไทยกลายเป็นตลาดที่มีผลงานดีเด่นที่สุดของโลก
เจฟ ลูอิส หัวหน้าแผนกการลงทุนของเจเอฟ ฟันด์ส แสดงความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นไทย
โดยอ้างอิงพื้นฐานเศรษฐกิจมหภาค และว่าปีที่ผ่านมา การลงทุนของภาคเอกชนหลั่งไหลเข้าไทยมากกว่า
ประเทศขนาดเล็กอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียง ใต้ และเขาเชื่อว่าแนวโน้มดังกล่าวจะยังคงอยู่ต่อ
ไปในปีนี้
กระนั้นก็ตาม นักวิเคราะห์บางคนเตือนว่า การระบาดของโรคไข้หวัดนกอาจกระทบต่อการเติบโตของไทย
และบั่นทอนความสนใจของนักลงทุนต่างชาติ
ขณะเดียวกัน วาณิชธนกิจบางแห่งมีท่าทีระมัดระวังกับผลงานของกองทุนรวมในจีนในช่วง
2-3 เดือนนี้ พร้อมคาดว่าอาจมีการปรับฐานของ หุ้นของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกง
จากที่เมื่อปีที่แล้วหุ้นกลุ่มนี้ขึ้นไปประมาณ 150% แต่สำหรับปีนี้ขยับลงแล้ว 6%
ปีที่ผ่านมา กองทุนรวมไต้หวันให้ผลตอบ แทนเพียง 19.4% ถือเป็นอันดับสุดท้ายในบรรดา
15 ประเทศที่ลิปเปอร์ทำการสำรวจ ทั้งนี้ เนื่อง จากไต้หวันพึ่งพิงเศรษฐกิจภายนอกมากกว่าฮ่องกง
อีกทั้งมีปัจจัยการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้
ส่วนตำแหน่งรองบ๊วยเป็นของกองทุนรวมมาเลเซีย ให้ผลตอบแทน 20.2%
สำหรับแนวโน้มข้างหน้า ผู้จัดการกองทุนกล่าวว่า กองทุนรวมจะโฟกัสที่ฮ่องกง มาเลเซีย
เกาหลีใต้ และอินเดีย เพราะคาดหมายว่าตลาดหุ้นของประเทศเหล่านี้จะเดินหน้าตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
นอกจากนั้น นักลงทุนในกองทุนรวมยังอาจ อัดฉีดเงินเข้าสู่อินเดีย ประเทศเศรษฐกิจอันดับ
3 ของเอเชีย หลังจากที่สัปดาห์ที่แล้ว มูดี้ส์ อิน-เวสเตอร์ เซอร์วิส เพิ่งปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อ
ถือตราสารหนี้แดนภารตะมาสดๆ ร้อนๆ อีกทั้งเป็นที่คาดหมายกว้างขวางว่าเศรษฐกิจอินเดียปี
หน้ามีสิทธิ์โตถึง 7-9%