SSIชะลอขึ้นราคาเหล็กฟุ้งปีนี้รายได้3.4หมื่นล.


ผู้จัดการรายวัน(30 มกราคม 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

สหวิริยาสตีลฯตั้งเป้าผลิตเหล็กแผ่นฯปีนี้แตะ 2.26 ล้านตัน รองรับดีมานด์ในประเทศที่โตขึ้นกว่า 10% หนุนยอดขายพุ่งขึ้นเป็น 34,591 ล้านบาท ขยายตัว 16% ซึ่งปีนี้ล้างขาดทุนสะสม เกลี้ยง ลั่นภายใน 2-3 เดือนนี้จะไม่มีการยื่นขอขึ้นราคาเหล็กแผ่นฯ จากกรมการค้าภายใน เพราะอยู่ระหว่างการศึกษาราคาวัตถุดิบที่ปรับขึ้นระยะยาวหรือชั่วคราว

นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทสหวิริยา สตีล อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) (SSI) เปิดเผยแผนการดำเนินงานในปี 2547 ว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายยอดขายเหล็กแผ่นรีดร้อนจากปีก่อน 1.95 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเป็น 2.26 ล้านตันในปีนี้ คิดเป็นมูลค่ารวม 34,591 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้ว 15-16% เพื่อรองรับความต้อง การใช้เหล็กแผ่นในประเทศที่คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อนไม่ต่ำกว่า 10% คิดเป็นปริมาณการใช้รวม 7.5 ล้านตันต่อปี

รวมทั้งโครงการล้างและเคลือบผิวน้ำมันจะผลิตเชิงพาณิชย์ใน ปีนี้ ช่วยเพิ่มมูลค่าเหล็กแผ่นรีดร้อนขึ้นมา และในปี 2548 บริษัทฯจะมีรายได้จากส่วนขยายกำลังการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนจากเดิม 2.4 ล้านตัน เป็น 4.0 ล้านตัน โดยโครงการส่วนขยายจะรองรับดีมานด์เหล็กแผ่นฯในประเทศได้ประมาณ 3 ปีข้างหน้า

นายวิน กล่าวถึงการส่งออกในปีนี้ว่า บริษัทฯจะรักษาระดับการ ส่งออกอยู่ที่ 8% ของรายได้ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว โดยตลาดส่งออกหลักยังคงเป็นจีน เนื่องจากเป็นประเทศที่มีความต้องการใช้เหล็กใน ปีที่แล้วสูงถึง 250 ล้านตัน และปีนี้คงจะขยายตัวเพิ่มอีก ส่วนค่าเงินบาทปีนี้น่าจะทรงตัวอยู่ใน อัตรา 38-39 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากปีที่แล้ว บริษัทฯได้รับผลกระทบต่อรายได้ในรูปเงินบาทลดลง แต่ปริมาณการขายไม่ได้ลดลง

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายผลิตเหล็กแผ่นฯเพื่อ สนองความต้องการใช้ในประเทศเป็นหลัก โดยเน้นขายเหล็กให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเหล็กแผ่นรีดเย็น ยานยนต์และชิ้นส่วน เชื่อว่าจะไม่เกิด ปัญหาการขาดแคลนเหล็กแผ่นฯในประเทศดังที่ผู้ประกอบการหลายรายวิตกกังวล

ส่วนการปรับขึ้นราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนนั้น ขณะนี้บริษัทฯยังขายตามเพดานราคาที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์กำหนดไว้ที่ 15.71 บาทต่อกิโลกรัม โดยไม่ได้ยื่นเสนอขอปรับราคาขึ้น ดังนั้นภายใน 2-3 เดือนข้างหน้าคงจะยังไม่มี การปรับขึ้นราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนแต่อย่างใด แม้ว่าราคาวัตถุดิบจะปรับขึ้นก็ตาม เพราะขณะนี้ อยู่ระหว่างศึกษาเรื่องต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นความผันผวนชั่วคราวหรือระยะยาว หากพบว่าเป็นการปรับขึ้นในระยะยาวก็คงต้องมีการพิจารณาปรับขึ้นราคาเหล็กแผ่นฯอีกครั้ง

ด้านราคาเหล็กในตลาดโลกที่ผันผวนนั้น เป็นผลจากค่าขนส่งที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น 5 เท่า เนื่องจากเศรษฐกิจในจีนเติบโตสูงมาก ทำให้มีความต้องการสินค้าเหล็ก สินแร่เหล็ก ถ่านหิน และอื่นๆ จำนวนมาก รวมทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจ สหรัฐฯ ญี่ปุ่นก็ฟื้นตัวดีขึ้นเช่นกัน

"รู้สึกเห็นใจผู้รับเหมาก่อสร้างที่ไม่ได้มีการ Fixed ราคาเหล็กล่วงหน้า เมื่อเกิดปัญหาราคาเหล็กปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ประสบปัญหาต้นทุนสูงขึ้น ปัญหานี้เกิดขึ้นเนื่องจากไทยเป็นผู้นำเข้าเหล็กส่วนใหญ่ โดยมีดีมานด์ถึงปีละ 12 ล้านตัน แต่มีการผลิตเหล็กกล้าต้นน้ำเพียง 2 ล้านตัน ขณะที่ประเทศอื่น จะมีการผลิตเหล็กขั้นต้นมาก กว่านี้ ทำให้ปัจจุบันไทยต้องนำเข้าเหล็กต้นน้ำ และกลางน้ำ จึงทำให้ประสบปัญหาการผันผวนของราคาเหล็ก ซึ่งทางออกที่ดี คือไทยควรมีการ ผลิตเหล็กต้นน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรากำลังศึกษาในการผลิตเหล็กต้นน้ำ แต่ยังไม่มีข้อสรุปขณะนี้" นายวิน กล่าว

ปีนี้ล้างขาดทุนสะสมเกลี้ยง

ผลการดำเนินงานงวดปี 2546 บริษัทฯมีราย ได้รวมทั้งสิ้น 29,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% โดย มีรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนจำนวน 28,692 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% บริษัทฯมีกำไรขั้นต้นจากการขาย 4,795 ล้านบาท คิดเป็น สัดส่วน 16% ของยอดขาย และมีกำไรสุทธิ 4,702 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 36.95%

ปีนี้ บริษัทฯคาดว่าจะล้างขาดทุนสะสมได้หมด โดยนำผลกำไรจากการดำเนินงานล้างขาด ทุนฯ ส่วนการจ่ายเงินปันผลทันทีจากผลดำเนินงานงวดปี 2547 คงขึ้นอยู่กับมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น ปัจจุบันบริษัทฯขาดทุนสะสม ณ สิ้นปี 2546 อยู่ที่ 1,146 ล้านบาท โดยมีส่วนของผู้ถือหุ้น 1.5 หมื่น ล้านบาท หนี้สินรวม 1.29 ล้านบาท คิดเป็นอัตรา หนี้สินต่อทุน 0.9 เท่า

คุมราคาวัตถุดิบพุ่งฉุดกำไรฯลด

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) วิเคราะห์ว่าสหวิริยาสตีลฯมีกำไรสุทธิปี 46 เพิ่มขึ้น 37% เป็น 4.7 พันล้านบาท หากไม่รวมรายการ พิเศษ บริษัทฯจะมีกำไรสุทธิเท่ากับ 3.4 พันล้าน บาท ใกล้เคียงกับปีก่อน

อุตสาหกรรมเหล็กมีแนวโน้มดี ความต้อง การเหล็กแผ่นรีดร้อนภายในประเทศน่าจะมีอัตราการเติบโต 8% เป็น 5.6 ล้านตัน จากกำลังการผลิตในประเทศที่มีจำกัดเรายังต้องนำเข้าเหล็กอยู่ประมาณครึ่งหนึ่งของความต้องการรวม

เราคาดว่าปี 2547 ยอดขายจะลดลง 4% เนื่องจากการหยุดโรงงานเป็นเวลา 45 วันเพื่อติดตั้งเครื่องจักรสำหรับการขยายกำลังการผลิต อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิจากการดำเนินงานน่าจะ เติบโต 15% เนื่องจากสมมติฐานราคาขายที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เรายังมีความกังวลในเรื่องการรักษาระดับกำไรขั้นต้นของ บริษัทฯ เพราะผู้ผลิต ในไทยอาจไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่จากราคาเหล็ก ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากถูกควบคุมโดย รัฐบาล และราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น อาจ ส่งผลเชิงลบต่อกำไรขั้นต้น



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.