เจ้าสัวซีพีหนุน"ฟูดเซฟตี้" หวั่นอนาคตไก่ถูกกีดกัน


ผู้จัดการรายวัน(29 มกราคม 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

"เจ้าสัวซีพี" ชี้ผู้นำเข้าจะให้ความสำคัญ "ฟูด เซฟตี้" มากขึ้น หากผลิตสินค้าไม่ถูกสุขอนามัยโอกาสถูกกีดกันมีมาก "สมคิด" ตอกย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญอุตสาหกรรมอาหาร เผยการเกิดโรคระบาดในไก่เป็นวิกฤตที่จะแปรให้เป็นโอกาสที่จะสังคายนาการผลิตสินค้าอาหารทั้งระบบ เตรียมเรียกผู้ว่าฯซีอีโอประเมินผลการแก้ไขปัญหาไก่อีกครั้ง 31 ม.ค.นี้ ด้าน "วัฒนา" รับประกันไก่ที่ขายในห้าง-ตลาดสดปลอดภัย

วานนี้ (28 ม.ค.) สถาบันคีนันแห่งเอเชีย ได้จัดการสัมมนาเชิงวิชาการ โอเว่น คีนัน ประจำปี 2547 ในหัวข้อเรื่อง "อุตสาหกรรมอาหารไทย : สิ่งท้าทายและโอกาสในตลาดโลก" ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีผู้สนใจเข้าฟังกว่า 500 คน

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด กล่าวในการบรรยายพิเศษเรื่อง "มุมมองของผู้นำในการส่งออกอาหารของไทย" ว่า แนวโน้มของโลกจากนี้ไป ประเทศที่นำเข้าจะให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีมาตรฐานและถูกสุขอนามัยมากขึ้น และจะทำให้การนำมาตรการกีดกันมาใช้มีมากขึ้น เพราะเมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้า การตรวจสอบสารตกค้างทั้งในกุ้ง ไก่ และปลาจะทำได้ดีขึ้น และหากสินค้าไม่ดีจริงก็จะรอดพ้นการตรวจสอบได้ยาก

ทั้งนี้ ยังคาดการณ์แนวโน้มได้อีกว่าจากนี้ไป ประเทศที่นำเข้าสินค้าอาหารจะมีการปกป้องสุขภาพของคนในประเทศมากขึ้น และจะไม่นำเข้าสินค้าที่มีปัญหา ดังนั้น ผู้ผลิตควรจะให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีอันทันสมัยมาใช้ เพื่อสร้างระบบความปลอดภัยให้กับสินค้าอาหารที่ผลิตได้ เพราะถ้าไม่ผลิตสินค้าอาหารที่ได้สุขอนามัยและได้มาตรฐาน ผลกระทบจะเกิดขึ้นแน่

"อย่างของซีพี ได้สนับสนุนให้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ โดยการเลี้ยงไก่ ซีพีเลี้ยงเป็นแสนตัว ใช้เทคโนโลยีควบคุมหมด เพื่อที่จะรู้ว่าต้องให้น้ำเมื่อไร อาหารเมื่อไร และเลี้ยงในระบบปิด อีกทั้งในรัศมี 5 กิโลเมตรจะห้ามเลี้ยงไก่ และยังจะส่งเสริมให้มีการปลูกผักและผลไม้รอบๆ ด้วย ขณะที่คนเลี้ยง จะให้อยู่กับไก่ตั้งแต่ปล่อยสู่ฟาร์มจนถึงนำเข้า โรงเชือด ไม่ให้ออกไปไหน แต่เมื่อเลี้ยงจบแล้ว ก็จะให้พัก ซึ่งมั่นใจว่าป้องกันโรคได้แน่นอน" นายธนินท์กล่าว

นายธนินท์กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลต้อง การให้ไทยเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าอาหารปลอดภัย รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการที่เข้มงวดออกมาใช้ โดยจะต้องดูแลตั้งแต่วัตถุดิบ ซึ่งวัตถุดิบนี้สำคัญ แต่ไม่จำเป็นต้องทำในไทย โดยไทยสามารถอาศัยประเทศเพื่อนบ้านเป็นฐานการผลิตให้ได้ โดยไทยนำพันธุ์ นำเทคโนโลยีไปให้ เพื่อทำให้มีคุณภาพ รวมทั้งควรจะส่งเสริมให้คนไทยมีการไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ต้องการซื้ออาหารไทย แต่ไม่มีเงิน ไทยก็ควรจะไปลงทุนผลิตแล้วขายเลย หรือบางประเทศที่ขายเข้าไปได้ยากอย่างสหภาพยุโรป (อียู) ก็ควรจะเข้าไปลงทุน ซึ่งขณะนี้รัฐบาลก็ทำอยู่แล้ว โดยสำนักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุน ซึ่งในส่วนของซีพีเองก็จะไปลงทุนในจีน อินเดีย เวียดนาม และพม่า

นอกจากนี้ นายธนินท์เห็นว่านโยบายที่รัฐบาล กำลังจะจัดตั้งบริษัทการค้าระหว่างประเทศจะเป็นการ ช่วยเหลือให้ผู้ผลิตสินค้าขนาดกลางและเล็ก (SMES) ของไทยสามารถขายสินค้าได้

"สมคิด"เร่งปรับวิกฤตเป็นโอกาส

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมอาหารเป็นอย่างมาก และได้กำหนดให้เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายในการพัฒนา เพราะอุตสาหกรรมอาหารมีการใช้วัตถุดิบภายในประเทศสูง อีกทั้งยังสามารถเชื่อมโยงไปยังอุตสาหกรรมบริการได้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร และระบบการขนส่ง (ลอจิสติกส์) จึงมีความจำเป็นที่จะต้องสนับสนุนให้แข็งแรง

"จากนี้ไป ประเทศไทยจะไม่ผลิตอาหารเพื่อ นำไปบริโภคแค่ประทังชีวิต แต่จะมองอุปสงค์ของโลกว่าต้องการอะไร ต้องการสินค้าที่ดี มีคุณภาพ มีมาตรฐาน เราจึงต้องพัฒนาให้สอดคล้องกับมาตรฐานโลกและต้องให้ความสำคัญ เพราะวันนี้ต้องยอมรับว่าการผลิตภาคเกษตรมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศมาก" นายสมคิดกล่าว

นอกจากนี้ ไทยไม่เพียงแต่จะผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของตลาดโลก แต่ภายในประเทศเองก็จะมีการพัฒนาทั้งระบบ เพราะในปีนี้ นายกรัฐมนตรีได้ประกาศให้เป็นปีความปลอดภัยด้านอาหาร (ฟูด เซฟตี้) ที่จะพยายามผลักดันให้มีการรักษาสุขอนามัยตั้งแต่เกษตรขั้นพื้นฐาน ไปสู่ฟาร์ม สู่โรงงาน และสู่ร้านอาหารและผู้บริโภค โดยนโยบาย ของรัฐบาลจะพัฒนาตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง จากนี้ไปแนวคิดที่ว่าร้านอาหารยิ่งสกปรก ยิ่งอร่อย จะต้องหมดไป และจะเหลือแต่ร้านที่สะอาด และอร่อย ซึ่งจะช่วยให้คนทั้งในประเทศและต่างประเทศบริโภคอาหารที่มีมาตรฐานเดียวกัน

นายสมคิดกล่าวว่า สำหรับปัญหาโรคระบาดในไก่ที่เกิดขึ้น ถือเป็นโชคที่ไม่ดี หลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศนโยบายฟูด เซฟตี้ แต่ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีของประเทศที่จะสร้างความตื่นตัวให้คนไทยรู้จักสุขอนามัยว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเมื่อก่อนเคยมีปัญหาการใช้ยาในกุ้ง ยิ่งห้ามก็ยิ่งใช้ แต่วันนี้ไม่ได้ และรัฐบาลจะใช้โอกาสนี้ แปรวิกฤตให้เป็นโอกาส ทำให้อาหารไทยเป็นมาตรฐานสากล

ทั้งนี้ อยากขอย้ำว่าการแก้ไขปัญหา รัฐบาลได้ดำเนินการอย่างทันท่วงที มีการประชุมผู้ว่าฯซีอีโอ เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา เพราะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำคนเดียวไม่ไหว โดยหลังจากให้ผู้ว่าซีอีโอไปทำงานแบบซีเรียส โดยแบ่งออกเป็น 2 ทีม ทีมหนึ่งสำรวจและอีกทีมหนึ่งทำลายเพื่อคุมให้อยู่ โดยหากพบไก่ติดเชื้อ ก็ให้ขีดวง 5 กิโลเมตร ห้ามเคลื่อนย้าย และหากพบใครป่วยให้รีบแจ้ง ซึ่งผลจากการให้ผู้ว่าฯซีอีโอไปทำล่าสุดเช้าวานนี้ (28 ม.ค.) พบว่ามีไก่ติดเชื้อ 25 จังหวัด ซึ่งได้สั่งให้ทำลายแล้ว มีผู้ป่วย 3 ราย เสียชีวิตแล้ว 2 ราย สงสัย

11 ราย และไม่มีรายงานการติดเชื้อเพิ่ม

"ยังพบไก่เป็นโรคเพิ่มขึ้น ซึ่งก็ได้ขอให้มีการทำงานอย่างรวดเร็ว ขณะที่รัฐบาลจะออกแถลงการณ์ ทุกวันผ่านกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรฯ และสำนักงานโฆษกรัฐบาล เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด เพราะโรคไข้หวัดนกติดจากไก่สู่คนได้ ไม่ติดจากคนสู่คน และจะได้ไม่เกิดการเข้าใจผิดเหมือนกับที่มีข่าวติดจากไก่ไปสู่หมู" นายสมคิดกล่าว

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 31 ม.ค.นี้ จะเรียกประชุมผู้ว่าซีอีโออีกครั้ง เพื่อประเมินผลความ คืบหน้าในการทำงานว่าดำเนินการไปถึงไหนแล้วปรับระบบการเลี้ยงเป็นฟาร์มปิด

นายสมคิดกล่าวอีกว่า จากนี้ไปผู้ที่เลี้ยงไก่ ควรจะเปลี่ยนระบบการเลี้ยงเป็นระบบฟาร์มปิด รวมไปถึงสัตว์อื่นๆ ด้วย เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับ และมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้น ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือเพื่อให้มีการพัฒนาในทางที่ดีขึ้น ส่วนไก่ที่เสียหาย รัฐบาลก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่

"เมื่อรัฐบาลช่วยแล้ว เอกชนก็ไม่ควรออก มาชี้ว่าคนโน้น คนนี้ทำไม่ดี กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงสาธารณสุขทำอย่างนั้นไม่ถูก ทำอย่างนี้ ไม่ถูก แต่จะต้องออกมาพูดว่าจะช่วยกันยังไงมากกว่า" นายสมคิดกล่าว

นายวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า อยากจะขอยืนยันกับผู้บริโภคอีกครั้งว่าไก่ที่ซื้อไปบริโภคจากห้างสรรพสินค้าและตลาดสด เป็นไก่ที่ปลอดภัย และไม่ได้เป็นไก่ที่นำมาจากแหล่งที่เป็นโรค เพราะกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วม กับกรมปศุสัตว์ในการออกตรวจสอบอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว ส่วนการที่คนไม่บริโภคไก่ และทำให้ไก่ราคาตก และหมูราคาขึ้นนั้น เป็นเรื่องปกติ เพราะเป็นเรื่องของความต้องการ แต่ก็จะเข้าไปดูไม่ให้มีการขึ้นราคามากเกินไปจนกระทบกับประชาชน



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.