เก็บตกปีใหม่ในต่างแดน

โดย มานิตา เข็มทอง
นิตยสารผู้จัดการ( กุมภาพันธ์ 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

ช่วงปลายปีของทุกปี คนในอเมริกาส่วนใหญ่จะมีวันหยุดอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่... นักเรียนไทยที่นี่ พอสอบไล่เสร็จต่างคนต่างวางแผนหนีหิมะไปหาที่อุ่นกว่า... จะว่าไปแล้ว ปีนี้ชิคาโกหนาวช้ากว่าปีที่ผ่านมา หิมะเพิ่งมาตก หนักเอาช่วงต้นเดือนมกราคมนี้เอง และหนาแค่ประมาณ 5-6 นิ้วเท่านั้น แต่ยังประมาทไม่ได้ เพราะขณะที่นั่งเขียนต้นฉบับนี้ ยังเหลือเวลาอีกสองเดือนที่ถือว่าเป็นฤดูหนาวของที่นี่ บรือว์... กลับมาที่เรื่องราวของเพื่อนคนไทยแต่ละคนที่เผชิญกับความโชคดี และโชคร้ายแกมดีระหว่างการเดินทางในช่วงวันหยุดยาวนี้

เรื่องแรกเป็นเรื่องกลุ่มนักเรียนไทยที่นัดแนะกันไปทัวร์เมืองต่างๆ ใน California และ Nevada การเดินทางเริ่มต้นด้วยความราบรื่น แม้ว่าจะต้องบินในช่วง ความเสี่ยงของการก่อการร้ายสูง โดย Terrorist Alert อยู่ในแดนสีส้ม แต่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี หลังจากลงเครื่องที่สนามบิน Mc Carran ใน Las Vegas พวกเขา ก็เช่ารถ Chevrolet Impala ขับมุ่งหน้าสู่ San Diego และต่อไปที่ Los Angeles จากนั้นวันที่ 30 ธันวาคม พวกเขาก็เริ่มมุ่งหน้าสู่ San Francisco หวังจะ Count Down กันที่นั่นอย่างสนุกสนาน แต่เรื่องกลับไม่สนุกตลอดอย่างที่คิด...

หลังจากพักผ่อนนอนเอาแรงในคืนแรก เช้าวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันสิ้นปีที่อีกไม่กี่นาทีก็จะเริ่มต้นปีใหม่ พวกเขาขับรถเที่ยวทั่วเมือง ชอปปิ้งอย่างสบายใจ จนกระทั่งตอนบ่ายๆ ก็ไปเยี่ยมพิพิธภัณฑ์ Palace of Fine Art จุดท่องเที่ยวสำคัญที่สวยงามขึ้นชื่อและเป็นสถานที่เดียวกับที่ปรากฏอยู่ในฉากภาพยนตร์เรื่อง The Rock ตอนที่ Sean Connery นัดพบกับลูกสาว Claire Forlani... หลังจากหาที่จอดรถฟรีในบริเวณพิพิธภัณฑ์ได้แล้ว สมาชิกทุกคนก็เข้าไปเยี่ยมชมภายใน อย่างสบายใจ เวลาผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมง สมาชิกทุกคนก็กลับมาที่รถ ขับมุ่งหน้าต่อไปยังจุดชมวิว Twin Peak เพื่อดื่มด่ำกับทัศนียภาพของเมืองซานฟรานฯ และเตรียมพร้อมกับการฉลองปีใหม่ที่ใกล้เข้ามา...

ขณะที่ขับออกมาจากพิพิธภัณฑ์ได้ประมาณ 15 นาที สมาชิกคนหนึ่งในรถมองไม่เห็นกระเป๋าใบเล็ก ที่เขาใส่ของจุกจิก รวมทั้งเงินจำนวน 200 เหรียญฯ เขาถามหาจากเพื่อนทุกคนว่า เอากระเป๋าเขาไปใส่ท้าย รถหรือเปล่า เพื่อนแต่ละคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ได้แตะต้องกระเป๋าใบนั้นเลย เขาเริ่มเอะใจ ร้องบอก ให้เพื่อนจอดรถและเปิดท้ายตรวจดูสิ่งของที่เขาเองเป็นคนบอกให้เพื่อนเอาของไปไว้ท้ายรถให้หมด ตอนที่ขับรถไปเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์ เนื่องจากเกิดความรู้สึกกังวลไม่ไว้ใจที่จะทิ้งของไว้ในตัวรถตั้งแต่แรกแล้ว...

หลังจากเปิดท้ายรถ อารมณ์สนุกบินหาย เพราะ สิ่งที่เห็นเบื้องหน้าคือ ท้ายรถอันว่างเปล่า...โน้ตบุ๊ค กระเป๋าเดินทางที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าและของที่ชอปปิ้งมาตลอดทั้งทริป รวมด้วยเงินสด 200 เหรียญฯ และแว่นสายตา รวมมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 1,500 เหรียญฯ อันตรธานหายไปกับวันสิ้นปี... เมื่อแต่ละคนตั้งสติได้ก็ขับรถกลับมาที่พิพิธภัณฑ์ แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบว่า ข้าวของในรถและท้ายรถถูกขโมยในพื้นที่จอดรถของพิพิธภัณฑ์ เจ้าหน้าที่ไม่มีทีท่าแปลกใจ แถมยังบอกอีกว่า พวกคุณไม่ใช่รายแรกที่โดนดีแบบนี้ หลังจากนั้นเขาก็แจ้งตำรวจให้ ตำรวจก็มารับแจ้ง โดยทำได้แค่เพียง ประเมินมูลค่าเสียหาย และให้นามบัตรมาไว้ดูต่างหน้า จากนั้นก็แยกย้ายกันไป

กลุ่มนักท่องเที่ยวของเราก็หมดอารมณ์ Count Down ไปตามๆ กัน ต่างหาวิธีที่จะได้ของคืนมา หรืออย่างน้อยก็ขอให้เคลมประกันได้ก็ยังดี แต่โชคไม่เข้าข้าง ประกันรถยนต์ชี้แจงว่า รถเช่าไม่ได้เกิดความเสียหาย จึงไม่มีหลักฐานว่ารถถูกงัดแงะเพื่อขโมยสิ่งของ อาจจะเกิดจากความประมาทล็อกรถไม่ดีเอง ทางประกัน จึงไม่สามารถรับผิดชอบใดๆ ได้...เป็นงั้นไป...แต่โชคยังดี ต้อนรับปีใหม่...หัวขโมยระดับมืออาชีพ งัดรถไม่ไว้ร่องรอย ยังเห็นใจ เหลือเสื้อแจ๊กเก็ตและหมวกอีก 3 ใบไว้ให้แก้หนาว กันเป็นหวัด เพราะรู้ว่าปีนี้ West Coast อากาศแปรปรวนและเย็นกว่าปกติ...

เก็บตกปีใหม่อีกเรื่อง เป็นเรื่องของมิตรภาพระหว่างคนอเมริกันและคนไทยที่เปิดร้านอาหารเล็กๆอยู่ในเมืองเล็กๆ ชื่อว่า เมือง Alexandria มลรัฐ Kentucky ที่กลายเป็นเรื่องเป็นราวอยู่บนหน้าหนังสือ พิมพ์ท้องถิ่น Campbell County Recorder...เรื่องมีอยู่ว่า Mrs.Edith คุณแม่ของสามีของดิฉันเอง อ่านข่าวเจอว่า ร้านอาหารไทยที่ชื่อว่า "Siam Orchid" ที่ตั้งอยู่ ใน Alexandria (ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของเธอที่ Cold Spring ไปเพียง 10-15 นาที) ได้รับความไม่เป็นธรรมจากหัวหน้าเขตไม่ให้ติดตั้งป้ายร้านอาหารบนป้ายโฆษณารวมของ "strip mall" ซึ่ง เป็นศูนย์การค้า Outdoor เล็กๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่ต้องการให้ศูนย์การค้ากลายเป็นซุ้มละครสัตว์...ไม่ใช่เพราะมีลูกสะใภ้เป็นคนไทย แต่ด้วยเหตุผลอันไม่เป็น สาระเช่นนี้ Mrs.Edith ไม่สามารถ ทนอยู่เฉยได้ จึงใช้สิทธิของ Free Speech เขียนจดหมายไปถึงบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับดังกล่าว โดย มีข้อความบางส่วนว่า

...หลังจากได้อ่านข่าวปัญหาป้ายร้านอาหารของร้าน Siam Orchid ที่ Mr.Infosino เพื่อนชาวอเมริกันที่ติดใจในรสชาติอาหารไทยและอัธยาศัยของคนไทยครอบครัวนี้ ได้พยายามช่วยติดต่อขออนุญาตจาก เจ้าหน้าที่เขตเพื่อติดตั้งป้ายชื่อร้านบนป้ายโฆษณาของศูนย์การค้า ดิฉันต้องการแสดงความชื่นชมในความมีน้ำใจไมตรีของ Mr.Infosino ที่หวังดีจะช่วยเพื่อนคนหนึ่ง เท่านั้น ซึ่งข่าวดีๆ แบบนี้นับวันจะหาอ่านได้ยาก... จากเหตุผลของหัวหน้าเขต Alexandria ที่มีต่อกรณีนี้ ดิฉันรู้สึกภูมิใจที่อาศัยอยู่ในเขต Cold Spring ที่น่าอยู่ บางที Mr.Infosino อาจจะช่วยย้ายร้านอาหารไทยมาเปิด ที่ทำเลใหม่ใน Cold Spring หรือทำเลอื่นๆ ที่ให้การต้อนรับที่ดีกว่า ไม่เหมือนพฤติกรรมของหัวหน้าเขต Alexandria ที่เหมือนปิดประตูใส่หน้าเจ้าของธุรกิจเช่นนี้...

นอกจากนั้น หัวหน้าเขต Alexandria ยังอ้างเหตุผลว่า เนื่องจากที่จอดรถของศูนย์การค้าอยู่ในสภาพ ไม่ดี จึงไม่อยากให้มีรถเข้าออกมากวุ่นวาย ซึ่งเป็นเหตุผล ที่ไม่ช่วยให้เขต Alexandria เป็นเขตที่น่าอยู่ขึ้นเลย ทั้งนี้ในระบบอเมริกา การแข่งขันเชิงการเติบโตของเมืองต่างๆ มีสูงมาก ซึ่งการเติบโตนี้ต้องอาศัยธุรกิจ ในท้องถิ่นเข้าช่วย หากในพื้นที่นั้นๆ ไม่มีธุรกิจดึงดูดให้ ผู้คนเข้ามาใช้บริการก็จะส่งผลให้กลายเป็นเมืองร้างและรายได้ที่เข้ามาในแต่ละเขตก็ลดลงไปด้วย...

อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ Discrimination เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ โดยเฉพาะในเมืองเล็กๆ ของอเมริกาเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องธรรมดามาก...แต่ที่น่าแปลกใจและน่าชื่นชมคือ การที่คนท้องถิ่นลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่เพื่อนต่างชาติร่วมโลก ที่เข้ามาประกอบอาชีพในแผ่นดินอเมริกา โดยไม่หวังสิ่งใด ตอบแทน...และในที่สุดร้านอาหารไทย Siam Orchid ก็ฉลองปีใหม่ด้วยป้ายชื่อร้านใหม่เด่นสะดุดตา...



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.