แพรนด้าเร่งเปิดรง.ในจีนรับผลดีหากเพิ่มค่าหยวน


ผู้จัดการรายวัน(19 มกราคม 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

แพรนด้าฯ ชี้โรงงานผลิตเครื่องประดับในจีนได้ผลดี หากปรับขึ้นค่าหยวน ทำให้ต้นทุนทางการเงินต่ำลง และอำนาจซื้อลูกค้า เพิ่มขึ้น คาดโรงงานในจีนผลิตได้ปลายกุมภาพันธ์นี้ ตั้งเป้าหมายปีแรก 1.2 แสนชิ้น และผลิตเต็มกำลังผลิต 9 แสนชิ้น ภายใน 7 ปี ควักอีก 40-50 ล้านใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ส่วนแผนเข้าไปลงทุนในอินเดีย ยังไม่เร่งรีบ เพราะอยู่ระหว่างหาพันธมิตรร่วมทุน

นายปรีดา เตียสุวรรณ์ ประธานกรรมการ บริษัท แพรน-ด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) (PRANDA) เปิดเผยว่า จากแนวโน้มจีนจะปรับขึ้นค่าเงินหยวนในปีนี้ เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อโรงงานผลิตเครื่องประดับเงินของ บริษัทฯในกวางโจว ประเทศจีน ซึ่งได้เปรียบในด้านต้นทุนทาง การเงินเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เพราะเข้าไปลงทุนในช่วงที่ค่าเงินหยวนต่ำ ดังนั้น เพื่อฉวยจังหวะดี จึงเร่งการก่อสร้างและติดตั้งเครื่อง จักรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว คาดว่าโรง งานดังกล่าวจะเปิดดำเนินการผลิตได้ในปลายกุมภาพันธ์นี้

"การตัดสินใจเข้าไปลงทุนใน จีนนั้น เนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพ การเติบโตของตลาดและมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดใน โลก โดยผมเข้าไปดูตลาดที่จีนเมื่อ 26 ปีก่อน และตัดสินใจลงทุนในจีนเมื่อเร็วๆนี้ เพราะการตัดสินใจ เข้าไปลงทุนในต่างประเทศ จำเป็น ต้องศึกษาเรื่องการเมืองของประเทศนั้นๆเป็นสำคัญ"

โรงงานผลิตเครื่องประดับเงินที่จีนในปีแรกจะผลิตอยู่ 1.2 แสนชิ้นต่อปี และจะผลิตเต็มที่ 9 แสนชิ้นในปีที่ 7 ซึ่งโรงงานดังกล่าว จะคุ้มทุน(Break Event) ในปีที่ 3 หลังเปิดดำเนินการผลิต เชื่อว่า การทำตลาดเครื่องประดับในจีนคงได้ตามเป้าหมาย เพราะถ้าเงินหยวนปรับค่าขึ้น จะทำให้ประชากรมีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยปีนี้บริษัทฯนำเงินทุน หมุนเวียนประมาณ 40-50 ล้านบาท เพิ่มทุนในบริษัทย่อยที่จีน เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการ ดำเนินงาน ปัจจุบัน แพรนด้าฯมีกระแสเงินสดในมือประมาณ 300 กว่าล้านบาท

นายปรีดา กล่าวถึงการลงทุน ในประเทศอินเดียว่า บริษัทยังสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในอินเดีย แต่ติดปัญหาเรื่องบุคลากรที่มีจำกัด ทำให้ยังไม่สามารถลงทุนได้ ในตอนนี้ รวมทั้งต้องการเข้าไปดูแลโรงงานที่จีนอย่างใกล้ชิดจน กว่าจะดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพระยะหนึ่ง

ซึ่งรูปแบบการเข้าไปลงทุนใน อินเดียจะเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น แทนการเข้าไปลงทุนเองทั้งหมด สาเหตุสนใจเข้า ไปลงทุนในอินเดีย เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่ และประชากรนิยมใช้ เครื่องประดับ ล่าสุดรัฐบาลไทยกับอินเดียทำสัญญาเขตการค้าเสรี ซึ่งมีข้อตกลงร่วมกันในการลดภาษีสินค้าระหว่างกัน จึงเป็นช่อง ทางที่ดีในการเจาะตลาดอินเดีย

สำหรับผลการดำเนินงานใน ปี 2546 บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 2,600 ล้านบาท และปีนี้คาดว่าจะเติบโตขึ้นอีก 12% โดยมีเป้าหมายรายได้เท่ากับ 2,800 ล้านบาท และกำไรสุทธิประมาณ 390 ล้านบาท คิดเป็น 14% ของยอดขาย สาเหตุที่มั่นใจยอดขายโต 12% นอกเหนือ จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้นแล้ว บริษัทฯได้รับคำสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าเพิ่มขึ้น การหาตลาดใหม่เพิ่มเติม รวมถึงนโยบายรัฐในการผลักดันให้กรุงเทพฯเป็นเมืองแฟชั่น

ปัจจุบัน บริษัทฯมีการส่งออกเครื่องประดับอัญมณีไปต่างประเทศคิดเป็น 88% ที่เหลือจำหน่ายในประเทศ โดยตลาดส่งออกหลัก คือ สหรัฐฯ 40% อียู 35% และเอเชีย 13%



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.