ซีพีไอเอฟ ไม่หวั่นโรคไข้หวัดนกระบาดหนัก อ้างยังไม่ได้รับผลกระทบเพราะจำหน่ายเนื้อหมูเป็นหลัก
เผยสถานการณ์ราคาเนื้อหมูขึ้นแน่เพราะคนไทยขยาดกินเนื้อไก่ ซีพีไอเอฟสบช่องจีนเดี้ยง
เร่งส่งออกไข่ไก่ไทยโกยรายได้
"ไพศาล" เผยแผนการตลาดประกาศรุกตลาดแปรรูปปี 47 หนัก ทุ่มงบ 300 ล้านบาท
ตั้งเป้าแจ้งเกิด แบรนด์องค์กร ประกาศลุยตลาดส่งออกเต็มสูบ มั่นใจดันยอดโตไม่ ต่ำกว่า
20% พร้อมเพิ่มงบขยายโรงงานกลุ่มแช่แข็งรองรับตลาดขยายตัว
นายไพศาล จงบัญญัติเจริญ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.พี.อินเตอร์ฟู้ด (ไทยแลนด์)
จำกัด หรือซีพีไอเอฟ เปิดเผยเกี่ยวกับปัญหาเรื่องโรคที่เกิดในไก่ว่า ปัจจุบันปัญหาโรคไก่อยู่ที่ขั้นตอนการเลี้ยง
ซึ่งจะต้องปรับให้ได้มาตรฐานและเปลี่ยนระบบการจัดการโรงเลี้ยงใหม่ และควรนำเทคโนโลยีการเลี้ยงไก่สมัยใหม่เข้า
มาใช้เพื่อควบคุมอุณหภูมิ ควบคุมโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ที่ไก่ตายเป็นจำนวนมากในครั้งนี้
เบื้องต้นบริษัทยังไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าไรนัก เพราะโดยผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทเป็นผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมูเป็นส่วนใหญ่
แต่แนวโน้มในอนาคตอันใกล้อาจจะส่งผลต่อราคาหมูที่จะต้องขึ้นราคา เนื่องจากผู้บริโภคจะกังวลต่อการบริโภคเนื้อไก่และจะเปลี่ยนมาบริโภคเนื้อหมูมากขึ้น
นอกจากนี้ปัญหาไข้หวัดนกที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในประเทศจีน เกาหลี ย่อมส่งผลดีต่อ
ยอดส่งออกไก่ของไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งในปีที่ผ่านมาที่เกิดวิกฤตโรคซาร์สขึ้นนั้น
ยอดส่งออกเนื้อสัตว์แช่แข็งของซีพีไอเอฟเติบโตสูงมากกว่าทุกปี โดยเฉพาะตลาดยุโรป
เกาหลี และญี่ปุ่นที่หันมาสั่งเนื้อสัตว์แช่แข็งจากไทยมากขึ้น อย่าง ไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจีนจะมีปัญหาเกี่ยวกับโรคต่างๆ
อย่างต่อเนื่อง แต่ก็เป็นคู่แข่งเนื้อสัตว์แช่แข็งในตลาดโลกที่สำคัญของไทย ซึ่งถ้าหมดปัญหาไข้หวัดนกแล้ว
มั่นใจว่าจีนจะกลับมาผงาดในตลาด นี้และกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับไทยอย่างแน่นอน
เร่งสร้างแบรนด์ซีพีไอเอฟโกอินเตอร์
นายไพศาล กล่าวต่อถึงทิศทางของซีพีไอเอฟปีนี้จะให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์องค์กรหรือสร้างแบรนด์ซีพีไอเอฟให้แข็งแกร่งและเป็นที่รู้จักมากขึ้น
เนื่องจากบริษัทมีผลิตภัณฑ์ในเครืออยู่หลายแบรนด์ ได้แก่ ไส้กรอกตราซีพีไอเอฟและมิสเตอร์ซอสเซส
กลุ่มอาหารแช่แข็งตราคิทเช่น จอย ผงปรุงรส ซอส ตราช้อยส์ ซุปไก่สกัดและรังนกตราเบซซ์
และกลุ่มเบเกอรี่ แกสโต้ โดยปีนี้จะทุ่มงบโฆษณาและประชาสัมพันธ์กว่า 300 ล้านบาทให้กับสินค้าทุกแบรนด์รวม
ถึงแบรนด์องค์กรด้วย อีกทั้ง ยังเน้นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย งานอีเวนต์ต่างๆ
และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้เข้าถึงผู้บริโภคในระดับกว้างมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ยอดขายเติบ
โตเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 10-12%
พร้อมกันนี้ ยังเตรียมขยายตลาดไปยังต่างประเทศ ให้มากขึ้น โดยในปี 2546 ที่ผ่านมา
ยอด ขายจากกลุ่มส่งออกมีอัตราการเติบโตสูงที่สุด คิดเป็นมูลค่า 400-500 ล้านบาท
จากยอดขายทั้งหมด 3,000 ล้านบาท ซึ่งปีนี้คาดว่ากลุ่มส่งออก ก็จะเติบโตต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า
20% เนื่องจากขยายเข้าสู่ตลาดใหม่อย่างสแกนดิเนเวียได้เป็น รายแรกของไทย ซึ่งตลาดดังกล่าวมีความต้อง
การอาหารแปรรูปหรืออาหารแช่แข็งสูงมาก
นายมาโนช พันธ์พุฒิพงษ์ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการกิจการอาหารแปรรูป บริษัท ซี.พี.อินเตอร์ฟู้ด(ไทยแลนด์)
จำกัด หรือ ซีพีไอเอฟ กล่าว ถึงแผนการทำตลาดในไทยต่อว่า ปีนี้ซีพีไอเอฟคงจะให้ความสำคัญกับกลุ่มอาหารแช่แข็ง
เพราะ มีแนวโน้มดีมาตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว บริษัทจึงเพิ่มงบลงทุนขยายโรงงานส่วนผลิตอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งหรือคิทเช่น
จอยเพิ่ม 1 โรง เป็นมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้ากลุ่มนี้ให้มากขึ้น
โดยคาดว่าสิ้นปีคิทเช่น จอยจะมีอัตราการเติบโตมากกว่า 100% อีกทั้งยังเตรียมขยายช่องทางให้กับคิทเช่นจอยไปยังดิสเคานต์สโตร์
มินิมาร์ท และจีสโตร์ต่างๆ หลังจากที่วางจำหน่ายยังโมเดิร์นเทรด ครบทุกแห่งแล้ว
และขณะนี้ก็อยู่ระหว่างเจรจาเข้าวางจำหน่ายยังแฟมิลี่มาร์ทด้วย
ทางด้านกลุ่มไส้กรอกที่ถือว่าเป็นสินค้าทำรายได้หลักให้กับซีพีไอเอฟนั้น ปีนี้เตรียมแผน
ที่จะปรับบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยมากขึ้น และมีแนว โน้มที่อาจจะต้องปรับราคาของกลุ่มมิสเตอร์ซอสเซสซึ่งเป็นไส้กรอกหมูระดับพรีเมี่ยมเพิ่มขึ้น
เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้จึงต้องตรึงราคาขายเดิมไว้ชั่วคราว
เพราะปัจจุบันมิสเตอร์ซอสเซสจำหน่ายเฉพาะในโมเดิร์นเทรดเท่านั้น การปรับราคาขึ้นจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก
จะต้องขึ้นอยู่กับความต้องการของโมเดิร์นเทรดซึ่งเป็นกลุ่มค้าปลีกที่มีอำนาจการต่อรองกับซัปพลายเออร์สูง
สำหรับผลประกอบการในปี 2546 ที่ผ่านมา ซีพีไอเอฟปิดยอดขายที่ 3,000 ล้านบาท เติบโต
13-14% แบ่งเป็นรายได้จากการส่งออก 500 ล้าน บาท ภายในประเทศ 2,500 ล้านบาท โดยเป็น
กลุ่มไส้กรอก อาหารแช่แข็ง อาหารแปรรูป 70% ช้อยส์ เบซซ์ และแกสโต้อีก 30%