แพรนด้าฯตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 2,800 ล้านบาท โตขึ้น 12% และมีกำไรเฉียด 400 ล้านบาท
โดยปลายกุมภาพันธ์ นี้เดินโรงงานผลิตเครื่องประดับเงินที่จีนปีแรก 1.2 แสนชิ้น
และผลิตเต็มกำลังผลิต 9 แสนชิ้นภายใน 7 ปี และ Break Event ในปีที่ 3 หลังเปิดดำเนินการผลิต
ลั่นจ่ายปันผลงวดปี 46 สูงกว่าปีก่อนแน่นอน
นายปรีดา เตียสุวรรณ์ ประธานกรรมการ บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน)
(PRANDA) เปิดเผยทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2547 ว่า จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น
บริษัทฯได้ตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายในปีนี้อยู่ที่ 2,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
12% เมื่อเทียบจากปี 2546 ที่คาดว่าจะมีรายได้รวม 2,600 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิประมาณ
390 ล้าน บาท คิดเป็น 14% จากยอดขาย
สาเหตุที่มั่นใจยอดขายโต 12% นอกเหนือจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้นแล้ว บริษัทฯ
ได้รับคำสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าบางประเทศเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง การหาตลาดใหม่เพิ่มเติม
และ นโยบายภาครัฐในการผลักดันให้กรุงเทพฯเป็นเมืองแฟชั่น
โดยปัจจุบัน บริษัทฯมีการส่งออกเครื่องประดับอัญมณีไปต่างประเทศคิดเป็น 88% ที่เหลือจำหน่ายในประเทศ
โดยตลาดส่งออกหลัก คือ สหรัฐฯ 40% อียู 35% และเอเชีย 13%
นายปรีดา กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทฯจะให้ความสำคัญในการผลิตสินค้าแบรนด์เนมของ
บริษัทเองมากขึ้น เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง ไม่ว่า จะเป็น พรีมาโกลด์ พรีมาไดมอนด์
ESSE และ พรีมาอาร์ต เป็นต้น โดยบริษัทฯจะขยายกำลังการผลิตในโรงงานที่มีอยู่ทุกแห่งเพิ่มขึ้น
10% ทั้งไทย เวียดนาม เพื่อรองรับตลาดที่ขยายตัว
ส่วนความคืบหน้า โรงงานผลิตเครื่องประดับเงินที่กวางโจว ประเทศจีน คาดว่าจะเริ่ม
ดำเนินการผลิตได้ปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยเริ่มแรกจะผลิตอยู่ 1.2 แสนชิ้นต่อปี
และจะผลิตเต็มที่ 9 แสนชิ้นในปีที่ 7 ซึ่งโรงงานดังกล่าว จะ Break Event ในปีที่
3 หลังเปิดดำเนินการผลิต
การตัดสินใจลงทุนในจีนครั้งนี้ เนื่องจากจีนเป็นตลาดที่ใหญ่ และมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงมากที่สุดในโลก
ดังนั้นปีนี้บริษัทฯ จะใส่เงินทุนหมุนเวียนเพื่อใช้ในการผลิตที่จีนจำนวน 50 ล้านบาท
โดยแหล่งเงินทุนจะมาจาก กระแสเงินสดในมือของแพรนด้าฯที่สิ้นปี 2546 มีสูงถึง 300
กว่าล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังสนใจที่จะเข้าไปลงทุน ในอินเดีย แต่คงยังไม่ลงทุนในระยะเวลาอันสั้น
เนื่องจากบุคลากรบริษัทฯไม่เพียงพอ และต้องการให้โรงงานในจีนดำเนินการไประยะหนึ่งก่อน
นางสุนันทา เตียสุวรรณ์ ประธานบริหารการเงิน บริษัทแพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน)
กล่าวว่า นโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทฯไม่เกิน 60% ของกำไรสุทธิ โดยปีนี้น่าจะจ่ายเงิน
ปันผลจากงวดปีการดำเนินงาน 2546 ไม่ต่ำกว่างวดปีก่อน ซึ่งได้จ่ายเงินปันผลไป 80
สตางค์ต่อ หุ้น และถือเป็นบริษัทที่จ่ายปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่ 9.5% ติดอันดับบริษัทที่ให้ผลตอบ
แทนการลงทุนดีที่สุดรายหนึ่ง
นายปรีดา กล่าวว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นแทบไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ
บริษัทฯ แม้ว่าราคาทองคำมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น มา แต่ไม่กระทบการส่งออกบริษัทฯ
เพราะบริษัท จะตกลงราคากับลูกค้าทันทีที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบที่เป็นทองคำและเงิน
รวมทั้งทบทวนราคาสินค้าทุก 3 เดือน และซื้อประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนด้วยที่ผ่านมา
ยอดขายของบริษัท พรีมาโกลด์ ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายเครื่องประดับทองคำ บริสุทธิ์ 99.99%
จึงไม่ตกลงจากราคาทองคำที่ปรับขึ้น แต่ยอดขายโตขึ้น 15%ในปีที่แล้ว เพราะ ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ยึดติดเรื่องราคาทอง
แต่ซื้อเพราะเป็นทองคำบริสุทธิ์
"ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น มีผลกระทบทำให้ราคาทองคำแพงขึ้น เนื่องจาก ค่าเงินบาทเราผูกเงินสกุลดอลลาร์มากเมื่อเทียบค่าเงินอื่น
ขณะที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงด้วย แต่ค่าบาทแข็งกว่าเงินดอลลาร์สหรัฐแค่
5% ขณะที่เงินสกุลอื่นๆแข็งค่าเมื่อเทียบสกุลดอลลาร์ถึง 15-20% ทำให้สินค้าส่งออกของเราในสายตาลูกค้ากลับถูกลงไป"
สำหรับตัวเลขการส่งออกรวมของกลุ่มสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในปี 2547 ภาครัฐคาดว่าจะขยายตัว
15% เป็นผลจากการขับเคลื่อนโครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น รวมทั้งแผนการเจาะตลาดกลุ่มประเทศเป้าหมายด้วยกลยุทธ์ต่างๆตลอดจนกิจกรรมส่งเสริมการตลาด
ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มวัตถุดิบ ส่งผลให้มีผู้ประกอบการขยาย
มากขึ้น
การส่งออกในรายการสินค้าเครื่องประดับแท้ของไทย ตลอดเวลา 11เ ดือนสิ้นสุด พ.ย.2546
มีมูลค่า 1007.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตขึ้น 11.41% โดยแพรนด้าฯเป็นบริษัทที่มีมูลค่าการส่ง
ออกเป็นอันดับ 1 ของประเทศ