เงินบาทวานนี้ทะลุ 39 บาทต่อดอลลาร์อีกรอบแล้ว ขณะที่ภาคเอกชนเลิกบ่น เพราะทิศทางบาทแข็งคงต้านไม่อยู่
โดยปีนี้อาจแตะ 37 บาทต่อดอลลาร์ แต่ขอให้ภาครัฐเร่งแก้อุปสรรคการแข่งขันส่งออก
ทั้งโครงสร้างภาษีให้เป็นธรรม และระเบียบกฎเกณฑ์ภาครัฐให้เอื้อส่งออก ด้านกระทิงหุ้นไทยยังเดินหน้าต่ออีก
1.35% ด้วยวอลุ่มรวมถึง 5.76 หมื่นล้านบาท แม้ต่างชาติยังขายสุทธิต่ออีกเกือบ 870
ล้านบาท แต่คาดดัชนียังเดินหน้าผันผวน ทดสอบ 800 จุด เก็งกำไรไตรมาส 4 กลุ่มแบงก์-ไฟแนนซ์-บันเทิง
ที่คาดจะฉลุย
กระทิงหุ้นไทยยังแรงต่อ นักลงทุนเก็งกำไรหุ้นกลุ่มแบงก์-ไฟแนนซ์ใหญ่ เก็งผลประกอบการ
ไตรมาส 4 ที่จะทยอยประกาศเดือน นี้ว่าจะดีกว่าไตรมาสที่ผ่านมา ดัน ดัชนีตลาดฯ ปิดสูงสุด
794.01 จุด เพิ่มขึ้น 10.57 จุด เพิ่ม 1.35 % โดย ระหว่างวัน ดัชนีต่ำสุด 786.86
จุด มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 57,628.89 ล้านบาท
กลุ่มหลักทรัพย์ที่มูลค่าซื้อขายมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ กลุ่มบริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์
มูลค่าซื้อขายรวม 15,370.59 ล้านบาท คิดเป็น 27.15% ของมูลค่าซื้อขายรวมทั้งตลาดฯ
กลุ่มสื่อสาร 7,499.99 ล้านบาท คิดเป็น 13.25% และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ 6,843.51
ล้านบาท คิดเป็น 12.09%
นายจักรกฤษ เจริญเมธาชัย นักวิเคราะห์จาก บล.ไอบี กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงมองแนวโน้มว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ จะขยายตัวดีต่อเนื่อง
รวมทั้งการทยอยประกาศผลประกอบการ บจ. ไตรมาส 4 ปีที่แล้ว โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์
ที่คาดว่าจะมีกำไรเพิ่ม กันถ้วนหน้า รวมถึงกลุ่มโบรกเกอร์ จากความคึกคักการลงทุนในตลาด
หลักทรัพย์ และการเติบโตกำไรแบบก้าวกระโดดของบริษัทหลักทรัพย์ปีที่แล้วถึง 400%
คาดว่าดัชนี จะเดินหน้าผันผวน ขึ้นทดสอบ 800 จุด ส่วนแนวรับ 770-772 จุด ทั้งนี้
ขึ้นกับหุ้น มาร์เกตแคปใหญ่ จะขยับตามหรือไม่
ด้านนางสาวศุภมาส พยัคพันธ์ นักวิเคราะห์ บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาวะการลง
ทุนวานนี้ ดัชนียังคงปรับตัวเพิ่มต่อเนื่อง นักลง ทุนเก็งกำไรหุ้นกลุ่มบันเทิง
บริษัทหลักทรัพย์ช่วง เช้า ก่อนจะย้ายฐานเล่นกลุ่มแบงก์ช่วงบ่าย เพราะคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส
4 ว่าจะดี แนวโน้มการลงทุน ดัชนีจะปรับขึ้นอีกวันนี้ มีโอกาสทดสอบ 800 จุด เนื่องจากเก็งกำไรหุ้นกลุ่มดังกล่าวต่อเนื่อง
ซึ่งขณะนี้มีเพียงแบงก์นครหลวงไทย เจ้าเดียวที่ประกาศกำไรไตรมาส 4 ดีที่ 3,606
ล้านบาท
บาททะลุ 39 อีกรอบ
นางทัศนา รัชตโพธิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาด เงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยว่าการแข็งค่าเงินบาทช่วงที่ผ่านมา ปรับตัวตามดอลลาร์สหรัฐ ที่อ่อนค่าลง
ซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาด และค่าเงินของไทย ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ที่ปรับตัวในทิศทางเดียวกัน
นายชัชวาลย์ จำรัสวิทยาวงศ์ ผู้จัดการฝ่าย บริหารการเงิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
กล่าวว่าเงิน บาทเช้าวานนี้ (12 ม.ค) แข็งค่าขึ้นหลุด 39 บาท ต่อดอลลาร์อีกรอบ
เป็นครั้งที่ 2 ปีนี้ หลังจากสัปดาห์ที่แล้วทะลุระดับนี้รอบแรก
โดยเคลื่อนไหวที่ 38.94-38.96 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับทั่วโลก
โดยค่าเงินเยนญี่ปุ่น แม้จะมีการแทรกแซงจากธนาคารกลางญี่ปุ่นสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ที่อ่อนค่าถึง 108 เยนต่อดอลลาร์ แต่ท้ายสุดก็แข็งขึ้นที่ 106.40 เยนต่อดอลลาร์
ขณะที่ค่าเงินยูโร 1.2845 ยูโรต่อดอลลาร์ เงินปอนด์อังกฤษ แข็งค่าอยู่ที่ 1.8475
ปอนด์ต่อดอลลาร์
ทั้งนี้ ตลาดเงินยังคาดว่า ดอลลาร์จะอ่อนตัวลงอีก เพราะเชื่อมั่นว่ารัฐบาลสหรัฐฯจะใช้นโยบายดอลลาร์อ่อนแก้ปัญหาขาดดุลการค้าสหรัฐฯที่ขาดดุลถึง
5% ของจีดีพี แม้รัฐมนตรีคลังมะกัน จะประกาศไม่มีนโยบายค่าดอลลาร์อ่อนก็ตาม
"ค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ คาดว่าอาจแข็งค่าถึง 38.80-38.90 บาทต่อดอลลาร์ ปีนี้คาดว่าจะเห็น
37 บาท ซึ่งเชื่อว่าผู้ประกอบการนำเข้า-ส่งออก คง จะเตรียมพร้อมรับเหตุการณ์นี้ไว้แล้ว
และการที่ค่าเงินบาทแข็งมาถึงระดับนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพราะหากดูถึงภาพรวมต่างประเทศและเศรษฐ-กิจไทยแล้ว
ค่าเงินบาทไทยน่าจะแตะ 39 บาทต่อ ดอลลาร์ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว" เขากล่าว
ด้านดีลเลอร์ธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง เปิด เผยว่า ค่าเงินบาทวานนี้ เปิดตลาด 38.96-38.98
บาทต่อดอลลาร์ ระหว่างวัน การซื้อขายค่อนข้าง เบาบาง เนื่องจากผู้นำเข้ายังคงรอค่าเงินบาทลดลง
เพราะเห็นว่ายังสามารถลดลงต่ำกว่า 38.00 บาท ต่อดอลลาร์ได้อีก แต่ก็มีบางส่วนที่ทยอยซื้อไว้บ้าง
ส่วนค่าเงินเยน หลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่น แทรกแซงจนถึง 108 เยนต่อดอลลาร์ ก็แข็งค่ากลับที่
106.4 เยน
ส่วนค่าเงินหยวนที่คาดว่าปีนี้จะแข็งค่าขึ้น 5% เทียบดอลลาร์สหรัฐ คาดไม่ส่งผลกระทบค่า
เงินบาท เพราะค่าบาทเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาด ว่าจะหลุด 38.00 บาทต่อดอลลาร์ ค่าเงินบาทปิดตลาด
38.85-38.88 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าสุดวานนี้ 38.85 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าสุด 38.97
บาท ซึ่งถือว่าแข็งค่าสุดในรอบ 4 เดือน ตั้งแต่ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาตรการสกัดเก็งกำไรค่าเงินบาท
นายเกียรติพงษ์ น้อยใจบุญ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า
ผู้ประกอบการคาดการณ์ก่อนหน้านี้แล้ว ว่าค่าเงินบาทจะแข็งขึ้น ซึ่งเป็นเหตุการณ์ปกติ
เพราะค่าเงินแข็งขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่วูบ วาบ ทำให้ผู้ประกอบการประเมินสถานการณ์
คำนวณราคาต้นทุน และราคาขายได้ ซึ่งค่าเงินไม่ใช่ไทยแข็งเพียงประเทศเดียว แต่ประเทศอื่นก็แข็งขึ้นเช่นกันเมื่อเทียบดอลลาร์
นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งขึ้น ก็ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบที่ไทยนำเข้า ต้นทุนต่ำลงด้วย
นายเกียรติพงษ์กล่าวว่า อุปสรรคอุตสาหกรรมขณะนี้ คือการปรับโครงสร้างภาษีไม่เป็นธรรม
โดยเฉพาะปิโตรเคมี และพลาสติก ที่ยังไม่ชัดเจน และรัฐมีแนวโน้มจะช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนี้ขั้นต้น
ทำให้ภาษีนำเข้าวัตถุดิบ ยังสูงกว่าภาษีสินค้ากึ่งสำเร็จรูป และสินค้าสำเร็จรูป
ภาครัฐควรจัดการกฎระเบียบภาค รัฐให้คล่องตัว เพื่อส่งเสริมความสามารถการแข่งขันภาคเอกชน
โดยภาครัฐต้องเทียบกับ ต่างประเทศ เพื่อให้ไทยแข่งขันได้แท้จริง