กลุ่มโรงหนัง ได้ทีปรับราคาสื่อโฆษณาในโรงหนังรับเศรษฐกิจขาขึ้น เอสเอฟหัวขบวนปรับขึ้น
20% หลังอั้นราคาเดิมมานาน เผย ปีนี้ตลาดรวมผุดโรงหนังขึ้นอีก ย้ำเป็นช่องทางสร้างรายได้โฆษณาเป็นเงาตามตัว
ด้าน อีจีวี เมเจอร์ฯอีกสองค่ายยังจดๆ จ้องๆ มั่นใจตลาดรวมสื่อ โรงหนังปีนี้โต
15-20%
นายสุพัฒน์ งามวงศ์ไพบูลย์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด เอสเอฟ ซีเนม่าซิตี้ เปิดเผยกับ
"ผู้จัดการรายวัน" ว่า เนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ส่งผลให้ธุรกิจสื่อโฆษณาในโรงหนังมีความคึกคักเพิ่มขึ้นด้วย
แม้ว่าปัจจุบันมูลค่าตลาดสื่อโฆษณาโรงหนังจะมีประมาณ 400 กว่าล้านบาท หรือคิดเป็นเพียงไม่ถึง
1% จากมูลค่าตลาดรวมสื่อโฆษณาทั้งระบบที่มีมากกว่า 70,000 ล้านบาทก็ตาม ซึ่งเป็นโอกาสและบ่งบอกถึงแนวโน้มการเติบโตในอนาคตของสื่อโฆษณาโรงหนังที่ยังมีอีกมาก
นอกจากนั้นในปีนี้ผู้ประกอบการโรงหนังรายใหญ่แต่ละรายมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนโรงมาก
ขึ้นทำให้จำนวนจอเพิ่มเป็นเงาตามตัว ส่งผลให้ช่องทางการทำเงินสูงตามไปด้วย อีกทั้งยังเป็นสื่อโฆษณาที่มีราคาต่ำ
เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงตามความต้องการ
นายสุพัฒน์ กล่าวต่อว่า ปีนี้เอสเอฟได้ปรับราคาค่าสื่อโฆษณาในโรงหนังเพิ่มขึ้นประมาณ
20% หลังจากที่ไม่ได้ปรับราคามา 2-3 ปีแล้ว จากเดิมที่มีราคาเฉลี่ย 8,000-10,000
บาท ต่อสัปดาห์ ต่อโรงต่อสปอต 30 วินาที ซึ่งขึ้นอยู่กับทำเลด้วย ราคาใหม่คาดว่าจะมีความเหมาะสม
กับสภาพตลาดที่เติบโตและดีขึ้น ซึ่งลูกค้าที่ซื้อสื่อโฆษณามี 2 แบบคือ เจ้าของสินค้าซื้อโดยตรง
กับการซื้อผ่านเอเยนซี่ ทั้งนี้เอสเอฟยังคงดำเนิน นโยบายเดิมคือ การให้บริษัท แฮททริค
จำกัดเป็นผู้บริหารและรับผิดชอบการขายสื่อโฆษณาโรงหนัง
อย่างไรก็ตาม เอสเอฟยังคงจำกัดระยะเวลาการโฆษณาไว้เท่าเดิมคือ โฆษณาสินค้าประมาณ
5-7 นาทีต่อรอบ และโฆษณาหนังตัวอย่างอีกไม่ถึง 10 นาทีต่อรอบ รวมแล้วไม่เกิน 15
นาทีต่อรอบ
เมื่อปีที่แล้วเอสเอฟมีรายได้จากสื่อโฆษณา โรงหนังประมาณ 120 ล้านบาท จากมูลค่าตลาด
รวมที่มีตัวเลขเก็บไว้ประมาณ 400 กว่าล้านบาท คาดว่าปีนี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น
200 ล้านบาท จากมูลค่าตลาดรวมที่จะเพิ่มเป็น 600 กว่าล้านบาท ซึ่งเป็นปริมาณที่เพิ่มขึ้นถึง
60% ซึ่งสัด ส่วนรายได้จากสื่อโฆษณาคิดเป็น 10% จากรายได้รวมของเอสเอฟที่มีประมาณ
1,200 ล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาดโรงหนัง 28% เมื่อสิ้นปีที่แล้วและคาดหวังเพิ่มมาร์เกตแชร์เป็น
32% ในปีนี้
จากการสำรวจของ "ผู้จัดการรายวัน" พบว่า ตัวเลขล่าสุดของทั้งสามรายใหญ่ในตลาดโรงหนังในเวลานี้มีมากกว่า
200 จอ คือ เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์มีประมาณ 130 โรง หรือจอ จำนวน 33,000 ที่นั่ง อีจีวีมีประมาณ
เกือบ 100 จอ ส่วน เอสเอฟซีเนม่ามีประมาณ 49 โรง ซึ่งไม่นับรวมสาขาภาคตะวันออก
ทั้งนี้ เมเจอร์ฯเพิ่งจะเปิดสาขาใหม่สองแห่ง ที่นนทบุรีและอุดรธานี เมื่อไม่นานนี้
และมีแผน ที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีกในปีนี้ด้วยอย่างต่ำ 2-3 สาขา ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนโรงเพิ่มขึ้นอีกไม่
ต่ำกว่า 20-30 โรง ขณะที่อีจีวีมีแผนเปิดอีกไม่ต่ำกว่า 2 สาขาขนาดใหญ่ และนอกจากนั้นจะมีอีกที่เป็นโรงประเภทดิจิตอลที่เรียกว่าดีไซน์
ส่วนเอสเอฟเองปีนี้เตรียมเพิ่ม จำนวนโรงหนังอีกหลายแห่งเช่นที่ ภูเก็ต 2 สาขารวมกว่า
15 โรง คือที่เซ็นทรัลภูเก็ตจะเปิดประมาณเดือน สิงหาคมและที่ป่าตองภูเก็ตเปิดประมาณปลายปีนี้
นอกจากนั้นในช่วงตรุษจีนนี้จะเปิดบริการเพิ่มอีก 5 โรงที่เดอะมอลล์งามวงศ์วาน และช่วงกลางปีเปิดอีก
5 โรงที่เดอะมอลล์บางกะปิ และไตรมาส ที่ 3 เปิดเพิ่มอีก 2 โรงที่เอ็มบีเคเซ็นเตอร์
เบ็ดเสร็จแล้วปีนี้คาดว่าจะมีโรงหนังเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 70-80 โรง
ทางด้านอีจีวี นายประสงค์ รุ่งสมัยทอง ผู้อำนวยการบริหารสายงานพัฒนาธุรกิจ 2
บริษัท อีจีวี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวทำนองเดียวกันว่า สื่อโฆษณาในโรงหนังมีโอกาส
เติบโตอีกมาก ขณะเดียวกันอีจีวีเองก็ยังมีโอกาส ที่จะขยายสื่อตัวอื่นเพิ่มขึ้นด้วยไม่ว่าจะเป็นสื่อจอแอลอีดี
หน้าตึกเมโทรโพลิสเป็นจอใหญ่ขนาด กว้าง 6 เมตร ยาว 8 เมตร หรือแม้แต่สื่ออื่นเช่น
วิดีโอวอลล์ โปสเตอร์แอด ทริปเปิ้ลแอด เป็นต้น ซึ่งมีโอกาสที่จะขายดีมากขึ้นด้วย
โดยในปีนี้อีจีวี ได้เตรียมปรับลดสัดส่วนรายได้จากสื่อโรงหนังเหลือเพียง 60% ส่วนที่เหลือมาจากสื่ออื่น
นายประสงค์ ย้ำกับ "ผู้จัดการรายวัน" ว่า การแข่งขันด้านสื่อโฆษณาโรงหนังในปีนี้จะมีความเข้มข้นมากขึ้น
แม้ว่าจะมีหนังฟอร์มใหญ่เข้ามามาก แต่ในแง่ของการหาลูกค้าหรือสปอนเซอร์เข้ามาก็ต้องแข่งเหมือนเดิมเพื่อให้ลูกค้ามาลงโฆษณาที่ค่ายของแต่ละรายให้มากที่สุด
ดังนั้นกลยุทธ์การขายสื่อปีนี้จะมีรูปแบบใหม่ มีส่วน ลด และรูปแบบการทำตลาดร่วมกับพันธมิตรที่จะมีมากขึ้น
โดยอีจีวีคาดว่าปีนี้จะมีรายได้จากการขายสื่อในโรงหนังเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20%
จากปีที่แล้ว ที่อีจีวีทำยอดรายได้ 182 ล้านบาท จากมูลค่าตลาดรวมที่อีจีวีประเมินว่ามี
840 ล้านบาท
สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะอีจีวีมีการเพิ่มปริมาณ โรงหนัง อีกทั้งมาจากการปรับทีมการทำงานใหม่
ของการขายสื่อโฆษณาโดยปรับมาใช้ระบบ ไอเอ็มซี เพื่อให้การทำงานมีศักยภาพและความครบวงจรในการนำเสนอสื่อโฆษณาให้กับลูกค้า
ซึ่งจะมีทั้งการขายตรงประมาณ 30% และขายผ่านเอเยนซี่ประมาณ 70%
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าค่ายเอสเอฟจะปรับราคาไปแล้ว แต่อีจีวียังคงอัตราเดิมไม่เปลี่ยน
แปลงในช่วงนี้ เนื่องจากอีจีวีมั่นใจว่าราคาที่คิดอยู่นี้เป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว
คือ เฉลี่ยประมาณ 8,000 บาทต่อโรงต่อสัปดาห์ ต่อสปอต 320 วินาทีในกรุงเทพฯ ส่วนที่สาขาเมโทรโพลิสและ
แกรนด์อีจีวีประมาณ 12,000 บาทต่อโรงต่อสัปดาห์ต่อสปอต 30 วินาที ขณะที่สาขาในต่างจังหวัด
ประมาณ 6,000 บาท ขณะนี้อีจีวียังตรึง ราคาเดิมไว้ แต่ไม่แน่ว่าอนาคตอันใกล้นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงราคาอีกหรือไม่
สำหรับค่ายเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ ซึ่งชูกลยุทธ์เดียวกับอีจีวีด้วยการบริหารธุรกิจนี้เอง
ก็เป็นค่ายที่มีความน่ากลัวไม่น้อย เนื่องจากมีจำนวนจอมากที่สุด ดังนั้น อำนาจการต่อรองย่อมมีมาก
กว่าค่ายอื่น อีกทั้งยังมีสาขากระจายในต่างจังหวัด มากกว่าค่ายอื่นด้วย โดยมีมาร์เกตแชร์ในตลาด
นี้มากกว่า 50% ขณะที่รายได้จากการขายโฆษณา มีประมาณ 7% จากรายได้รวมของเมเจอร์ฯ