เตรียมดันไทยออยล์เข้าตลาดหลัก ทรัพย์ไตรมาส 3 ปีนี้ ส่งผลมาร์เกตแคปหุ้นไทยพุ่งอีก
มากกว่า 5 หมื่นล้านบาท ขณะที่บริษัทแม่ ปตท.คาด หากกระทิงหุ้นไทยเดินหน้าต่อเนื่อง
มาร์เกตแคปปีนี้ เพิ่มอีก 2 แสนล้านบาท แตะ 1 ล้านล้านบาทแน่ แถม เตรียมเพิ่มกำลังกลั่นน้ำมัน
หลังความต้องการปิโตรเคมีตลาดโลก โดยเฉพาะในจีนพุ่ง ขณะที่รายได้ปีนี้ คาดเพิ่ม
10% จากปีแพะ เป็น 5.5 แสนล้านบาท
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าววานนี้
(8 ม.ค.) ว่า ปตท.มีแผนนำบริษัท ไทยออยล์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ไทย ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ คาดจะ ระดมทุนประมาณ 25-30% ของมาร์เกตแคปบริษัท ที่ประมาณ
5 หมื่นล้านบาท วัตถุประสงค์การระดมทุนครั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้ ขยายกิจการโรงกลั่น
คาดว่าจะใช้งบประมาณ 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่ต้องรอให้การควบรวมกิจการกับไทยพาราไซลีน และไทยลูบเบส เสร็จก่อน โดยอาจออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่
หรือนำหุ้นเดิมออกมาจำหน่าย วัตถุประสงค์การระดมทุนครั้งนี้ เพื่อนำ เงินที่ได้
ขยายกิจการโรงกลั่น
ทั้งนี้ ปตท.ถือหุ้น 49% ในไทยออยล์ ซึ่งมีทุนจดทะเบียนประมาณ 2 หมื่นล้านไทยออยล์ถือหุ้นบริษัท
ไทยลูบเบส 40% และถือหุ้นบริษัท ไทยพาราไซลีน 30% ขณะนี้ กำลังศึกษาว่า จะควบรวมไทยออยล์กับทั้ง
2 บริษัทหลัง ด้วยวิธีซื้อหุ้น หรือแลกหุ้นคาดว่าจะสามารถควบรวมกิจการกันได้ภายในครึ่งปีแรกนี้
เหตุที่ต้องควบรวม เนื่องจากกิจการทั้ง 2 บริษัท ทำรายได้ให้ไทยออยล์ไม่มาก การควบรวมจะทำให้สะดวกใน
การบริหารงาน โดยเฉพาะการลดต้นทุน
นอกจากนี้ บริษัท ไทยออยล์ยังมีแผนจะขยายกำลังผลิตเพิ่มอีก 50,000 บาร์เรลล์/วัน
โดยคาดว่า โครงการขยายกำลังผลิตนี้จะเสร็จปี 2549 จะทำให้ยอดขายบริษัท ไทยออยล์เพิ่มอีก
25% จากปัจจุบัน ที่มียอดขาย 2.3 แสนบาร์เรล/วัน ซึ่งจะทำให้ไทยออยล์ผลิตเพิ่มขึ้นเป็น
2.7-3 แสนบาร์เรล/วัน
สำหรับผลดำเนินงานปี 2547 ไทยออยล์คาดว่ากำไรสุทธิจะใกล้เคียงปี 2546 ที่กำไรสุทธิ
7-8 พันล้านบาท เนื่องจากไทยออยล์ใช้กำลังผลิต เต็มที่แล้ว ทำให้รายได้ และกำไรเพิ่มขึ้น
ปตท.คาดรายได้พุ่งอีก 10% ปีนี้
สำหรับ ปตท. นายประเสริฐกล่าวว่า การที่ รัฐบาลมีนโยบายจะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง
ค้าน้ำมันในภูมิภาคนี้ (Oil hub trading) จะเอื้อให้ปตท.มีโอกาสขยายตัวทางธุรกิจมากขึ้น
อนาคตบริษัทในกลุ่มจะสดใสมากขึ้น จากการเติบโตของเศรษฐกิจไทยต่อเนื่อง
นายประเสริฐคาดว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า ความต้องการใช้พลังงาน น้ำมัน แก๊ส ปิโตรเคมี
จะสูงมาก โรงกลั่นน้ำมันจะใช้กำลังผลิตเต็มที่ ขณะนี้ ปตท.และบริษัทในเครือ มีแผนจะขยายกำลังกลั่นน้ำมัน
เพื่อรองรับความต้องการ ทั้งจาก ภายในและนอกประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ที่มีความต้องการปิโตรเคมีอย่างมาก
นายประเสริฐเปิดเผยเกี่ยวกับภาวะตลาด หุ้นไทยว่า หากตลาดหุ้นยังขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โดยดัชนีปรับตัวขึ้นไปที่ 900-1,000 จุดภายในปีนี้ มาร์เกตแคปกลุ่ม ปตท.ปีนี้ จะขยายตัวเป็นประมาณ
1 ล้านล้าน บาท โดยปัจจุบัน มาร์เกตแคปกลุ่ม ปตท.อยู่ที่ 8 แสนล้านบาท
สำหรับผลประกอบการปี 2547 คาดว่า ปตท.จะมีรายได้ประมาณ 5.5 แสนล้านบาท ขยายตัวจาก
ปี 2546 ประมาณ 10% โดยปี 2546 บริษัทมีรายได้ประมาณ 5 แสนล้านบาท ปีนี้ ราย ได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้น
เนื่องจากบริษัทใช้ กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์อัตราเติบโตปีนี้ ถือว่าต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
ที่ขยายตัวถึง 25% เนื่องจากคาดว่า ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปีนี้ จะอยู่ที่ 25 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
เทียบปีที่ผ่านมา ที่มีระดับราคาน้ำมันดิบเฉลี่ย 28 ดอลลาร์
โดยปีนี้ จะเพิ่มกำลังผลิตน้ำมันประมาณ 10% จากปี 2546 ที่มีกำลังผลิตประมาณ
1 ล้าน บาร์เรล/วัน และเพิ่มกำลังผลิตแก๊สธรรมชาติ 7-8% จากเดิม ที่มีกำลังผลิตเพียง
4 แสนบาร์เรล/วัน อีกทั้งบริษัทในเครือ คือ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม
(PTTEP) ขยายกำลังผลิตเพิ่มด้วย หลังจากที่ PTTEP ซื้อหุ้น บริษัท ไทยเชลล์ เอ็กซพลอเรชั่น
แอนด์โปรดักชั่น จำกัด จากบริษัท เชลล์ ปิโตรเลียม เอ็น วี จำกัด จากแดนมะกัน 100%
ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการ ปตท. ปีนี้
ส่วนแผนขยายท่าเรือที่มาบตาพุด ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
ขณะนี้ อยู่ระหว่างศึกษาแผนการลงทุน และขยายพื้นที่ก่อสร้าง คาดว่าจะเสร็จช่วงปลาย
ปีนี้
เตรียมปรับเพิ่มราคาน้ำมันอีกระลอก
สำหรับการปรับเพิ่มราคาน้ำมันไปแล้วลิตร ละ 50 สตางค์ ซึ่งมีผลตั้งแต่วานนี้
คาดว่าจะปรับ เพิ่มราคาน้ำมันอีก 30 สตางค์เดือนนี้ โดยการปรับราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น
เนื่องจากราคาน้ำมันทั่วโลกปรับขึ้น รวมทั้งความต้องการใช้น้ำมันเพิ่ม ขึ้น
นายประเสริฐเปิดเผยถึงกรณีราคาน้ำมันถีบตัวสูงขึ้นว่า เพราะราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่กลาง
ธ.ค. 2546 จน ถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะราคามันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ ล่าสุด น้ำมันเบนซิน
95 ปรับตัวสูงขึ้นที่ 44.90 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้นจากการปรับราคาเมื่อวันที่
16 ธ.ค.2546 ถึง 4.45 ดอลลาร์ น้ำมันดีเซล 38.83 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้นจากการปรับราคาเมื่อวันที่
21 พ.ย.2546 ถึง 3.65 ดอลลาร์
อีกทั้งการสำรองน้ำมันเบนซิน ลดลง 1.05 ล้านบาร์เรล เหลือ 5.88 ล้านบาร์เรล ประกอบกับจีนลดการส่งออกทั้งน้ำมันเบนซินและดีเซล
ทำให้ปริมาณน้ำมันในตลาดเกิดตึงตัว ปัจจัยดังกล่าว จึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนราคาน้ำมันขายปลีก
ทำให้สูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งปตท. ติด ตามสถานการณ์ และตรึงราคาขายปลีกระยะหนึ่งแล้ว
จึงจำเป็นต้องปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มอีก 50 สตางค์/ลิตร และน้ำมันดีเซล
30 สตางค์/ลิตร
แนวโน้มราคาน้ำมัน ม.ค.ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้น อีกประมาณลิตรละ 30 สต. เนื่องด้วยปัจจัยราคา
น้ำมันตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น สาเหตุที่บริษัทปรับราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 50 สต.เพราะ
ปตท.รอดูสถานการณ์มาตลอด 1 สัปดาห์ ดังนั้น เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์เริ่มไม่ดี ก็จำเป็นต้องปรับราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น
ราคาหุ้น ปตท. (PTT) วานนี้ 169 บาท เพิ่ม ขึ้น 3 บาท มูลค่าซื้อขาย 3,047.1
ล้านบาท มาก เป็นอันดับ 2 ของมูลค่าซื้อขายทั้งกระดาน ขณะที่ราคาสูงสุดวานนี้ 171
บาท