"ไทยออยล์"เข้าตลท.Q3 ปตท.รายได้พุ่ง10%ปีนี้


ผู้จัดการรายวัน(9 มกราคม 2547)



กลับสู่หน้าหลัก

เตรียมดันไทยออยล์เข้าตลาดหลัก ทรัพย์ไตรมาส 3 ปีนี้ ส่งผลมาร์เกตแคปหุ้นไทยพุ่งอีก มากกว่า 5 หมื่นล้านบาท ขณะที่บริษัทแม่ ปตท.คาด หากกระทิงหุ้นไทยเดินหน้าต่อเนื่อง มาร์เกตแคปปีนี้ เพิ่มอีก 2 แสนล้านบาท แตะ 1 ล้านล้านบาทแน่ แถม เตรียมเพิ่มกำลังกลั่นน้ำมัน หลังความต้องการปิโตรเคมีตลาดโลก โดยเฉพาะในจีนพุ่ง ขณะที่รายได้ปีนี้ คาดเพิ่ม 10% จากปีแพะ เป็น 5.5 แสนล้านบาท

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าววานนี้ (8 ม.ค.) ว่า ปตท.มีแผนนำบริษัท ไทยออยล์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ไทย ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ คาดจะ ระดมทุนประมาณ 25-30% ของมาร์เกตแคปบริษัท ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท วัตถุประสงค์การระดมทุนครั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้ ขยายกิจการโรงกลั่น คาดว่าจะใช้งบประมาณ 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แต่ต้องรอให้การควบรวมกิจการกับไทยพาราไซลีน และไทยลูบเบส เสร็จก่อน โดยอาจออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่ หรือนำหุ้นเดิมออกมาจำหน่าย วัตถุประสงค์การระดมทุนครั้งนี้ เพื่อนำ เงินที่ได้ ขยายกิจการโรงกลั่น

ทั้งนี้ ปตท.ถือหุ้น 49% ในไทยออยล์ ซึ่งมีทุนจดทะเบียนประมาณ 2 หมื่นล้านไทยออยล์ถือหุ้นบริษัท ไทยลูบเบส 40% และถือหุ้นบริษัท ไทยพาราไซลีน 30% ขณะนี้ กำลังศึกษาว่า จะควบรวมไทยออยล์กับทั้ง 2 บริษัทหลัง ด้วยวิธีซื้อหุ้น หรือแลกหุ้นคาดว่าจะสามารถควบรวมกิจการกันได้ภายในครึ่งปีแรกนี้ เหตุที่ต้องควบรวม เนื่องจากกิจการทั้ง 2 บริษัท ทำรายได้ให้ไทยออยล์ไม่มาก การควบรวมจะทำให้สะดวกใน การบริหารงาน โดยเฉพาะการลดต้นทุน

นอกจากนี้ บริษัท ไทยออยล์ยังมีแผนจะขยายกำลังผลิตเพิ่มอีก 50,000 บาร์เรลล์/วัน โดยคาดว่า โครงการขยายกำลังผลิตนี้จะเสร็จปี 2549 จะทำให้ยอดขายบริษัท ไทยออยล์เพิ่มอีก 25% จากปัจจุบัน ที่มียอดขาย 2.3 แสนบาร์เรล/วัน ซึ่งจะทำให้ไทยออยล์ผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 2.7-3 แสนบาร์เรล/วัน

สำหรับผลดำเนินงานปี 2547 ไทยออยล์คาดว่ากำไรสุทธิจะใกล้เคียงปี 2546 ที่กำไรสุทธิ 7-8 พันล้านบาท เนื่องจากไทยออยล์ใช้กำลังผลิต เต็มที่แล้ว ทำให้รายได้ และกำไรเพิ่มขึ้น

ปตท.คาดรายได้พุ่งอีก 10% ปีนี้

สำหรับ ปตท. นายประเสริฐกล่าวว่า การที่ รัฐบาลมีนโยบายจะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง ค้าน้ำมันในภูมิภาคนี้ (Oil hub trading) จะเอื้อให้ปตท.มีโอกาสขยายตัวทางธุรกิจมากขึ้น อนาคตบริษัทในกลุ่มจะสดใสมากขึ้น จากการเติบโตของเศรษฐกิจไทยต่อเนื่อง

นายประเสริฐคาดว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า ความต้องการใช้พลังงาน น้ำมัน แก๊ส ปิโตรเคมี จะสูงมาก โรงกลั่นน้ำมันจะใช้กำลังผลิตเต็มที่ ขณะนี้ ปตท.และบริษัทในเครือ มีแผนจะขยายกำลังกลั่นน้ำมัน เพื่อรองรับความต้องการ ทั้งจาก ภายในและนอกประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ที่มีความต้องการปิโตรเคมีอย่างมาก

นายประเสริฐเปิดเผยเกี่ยวกับภาวะตลาด หุ้นไทยว่า หากตลาดหุ้นยังขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยดัชนีปรับตัวขึ้นไปที่ 900-1,000 จุดภายในปีนี้ มาร์เกตแคปกลุ่ม ปตท.ปีนี้ จะขยายตัวเป็นประมาณ 1 ล้านล้าน บาท โดยปัจจุบัน มาร์เกตแคปกลุ่ม ปตท.อยู่ที่ 8 แสนล้านบาท

สำหรับผลประกอบการปี 2547 คาดว่า ปตท.จะมีรายได้ประมาณ 5.5 แสนล้านบาท ขยายตัวจาก ปี 2546 ประมาณ 10% โดยปี 2546 บริษัทมีรายได้ประมาณ 5 แสนล้านบาท ปีนี้ ราย ได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทใช้ กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์อัตราเติบโตปีนี้ ถือว่าต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ที่ขยายตัวถึง 25% เนื่องจากคาดว่า ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปีนี้ จะอยู่ที่ 25 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เทียบปีที่ผ่านมา ที่มีระดับราคาน้ำมันดิบเฉลี่ย 28 ดอลลาร์

โดยปีนี้ จะเพิ่มกำลังผลิตน้ำมันประมาณ 10% จากปี 2546 ที่มีกำลังผลิตประมาณ 1 ล้าน บาร์เรล/วัน และเพิ่มกำลังผลิตแก๊สธรรมชาติ 7-8% จากเดิม ที่มีกำลังผลิตเพียง 4 แสนบาร์เรล/วัน อีกทั้งบริษัทในเครือ คือ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ขยายกำลังผลิตเพิ่มด้วย หลังจากที่ PTTEP ซื้อหุ้น บริษัท ไทยเชลล์ เอ็กซพลอเรชั่น แอนด์โปรดักชั่น จำกัด จากบริษัท เชลล์ ปิโตรเลียม เอ็น วี จำกัด จากแดนมะกัน 100% ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการ ปตท. ปีนี้

ส่วนแผนขยายท่าเรือที่มาบตาพุด ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ขณะนี้ อยู่ระหว่างศึกษาแผนการลงทุน และขยายพื้นที่ก่อสร้าง คาดว่าจะเสร็จช่วงปลาย ปีนี้

เตรียมปรับเพิ่มราคาน้ำมันอีกระลอก

สำหรับการปรับเพิ่มราคาน้ำมันไปแล้วลิตร ละ 50 สตางค์ ซึ่งมีผลตั้งแต่วานนี้ คาดว่าจะปรับ เพิ่มราคาน้ำมันอีก 30 สตางค์เดือนนี้ โดยการปรับราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันทั่วโลกปรับขึ้น รวมทั้งความต้องการใช้น้ำมันเพิ่ม ขึ้น

นายประเสริฐเปิดเผยถึงกรณีราคาน้ำมันถีบตัวสูงขึ้นว่า เพราะราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่กลาง ธ.ค. 2546 จน ถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะราคามันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ ล่าสุด น้ำมันเบนซิน 95 ปรับตัวสูงขึ้นที่ 44.90 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้นจากการปรับราคาเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2546 ถึง 4.45 ดอลลาร์ น้ำมันดีเซล 38.83 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้นจากการปรับราคาเมื่อวันที่ 21 พ.ย.2546 ถึง 3.65 ดอลลาร์

อีกทั้งการสำรองน้ำมันเบนซิน ลดลง 1.05 ล้านบาร์เรล เหลือ 5.88 ล้านบาร์เรล ประกอบกับจีนลดการส่งออกทั้งน้ำมันเบนซินและดีเซล ทำให้ปริมาณน้ำมันในตลาดเกิดตึงตัว ปัจจัยดังกล่าว จึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนราคาน้ำมันขายปลีก ทำให้สูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งปตท. ติด ตามสถานการณ์ และตรึงราคาขายปลีกระยะหนึ่งแล้ว จึงจำเป็นต้องปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มอีก 50 สตางค์/ลิตร และน้ำมันดีเซล 30 สตางค์/ลิตร

แนวโน้มราคาน้ำมัน ม.ค.ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้น อีกประมาณลิตรละ 30 สต. เนื่องด้วยปัจจัยราคา น้ำมันตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น สาเหตุที่บริษัทปรับราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 50 สต.เพราะ ปตท.รอดูสถานการณ์มาตลอด 1 สัปดาห์ ดังนั้น เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์เริ่มไม่ดี ก็จำเป็นต้องปรับราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น

ราคาหุ้น ปตท. (PTT) วานนี้ 169 บาท เพิ่ม ขึ้น 3 บาท มูลค่าซื้อขาย 3,047.1 ล้านบาท มาก เป็นอันดับ 2 ของมูลค่าซื้อขายทั้งกระดาน ขณะที่ราคาสูงสุดวานนี้ 171 บาท



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.