กรุงไทยอ้าแขนรับควบแบงก์


ผู้จัดการรายวัน(24 ธันวาคม 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

"สุชาติ" เผย "แบงก์กรุงไทย-กรุงเทพ" ลอยตัวในการควบรวมกิจการภายใต้นิยาม "ธนาคารขนาดใหญ่" เหตุสินทรัพย์ เกินล้านล้านบาท ขณะที่ "วิโรจน์" ใจป้ำประกาศกรุงไทยมีศักยภาพถึงเป็นแกนนำ บิ๊กไทยพาณิชย์ย้ำแม้ประเทศไทยจะเหลือ 1-3 แบงก์ แต่ไทยพาณิชย์ต้องอยู่ ส่วนกสิกรไทยบอก "เราอยู่ได้"

ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยผ่านรายการสภาท่าพระอาทิตย์ เอฟเอ็ม 97.5 เมกะเฮิรตซ์ วานนี้ (23 ธ.ค.) ว่า การควบรวมธนาคารพาณิชย์ตามแผนแม่บททางการเงิน (Financial Master Plan) อาจจะให้เหลือไม่เกิน 5 แห่ง เพื่อให้เป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ สามารถแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ โดยในส่วนของ เอกชนจะให้มีการควบรวมกันด้วยความสมัครใจ

"ขณะนี้ มีธนาคารพาณิชย์รวม ทั้งสิ้น 13 แห่ง แต่ไม่ได้หมายความ ว่ารายเล็กๆ จะเข้าขั้นล้มละลาย เพียงการเป็นแบงก์ขนาดกลาง-เล็ก คือมีเงินทุนระหว่าง 4-5 แสนล้านบาท จึงไม่สามารถต่อสู้ด้วยตนเอง ขณะที่แบงก์ใหญ่ จะต้องมีเงินทุนมากกว่าล้านล้านบาท ปัจจุบันมี อยู่เพียง 2 แห่ง คือแบงก์กรุงเทพ และกรุงไทย" ร.อ.สุชาติ กล่าว

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะนำแผนแม่บททาง การเงิน เสนอให้ คณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาในวันอังคารหน้า (30 ธ.ค.) ก่อนที่จะประกาศใช้ต่อไป และคาดว่าจะใช้เวลาในการควบรวมกิจการของธนาคารพาณิชย์ให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 ปี

กรุงไทยพร้อมเป็นแกน

นายวิโรจน์ นวลแข กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีแนวทาง ควบรวมธนาคารพาณิชย์ให้เหลือ 3-4 แห่งว่า กระแส การควบรวมกิจการของธนาคารพาณิชย์ ส่วนตัวมองมาแล้ว 2 ปี โดยน่าจะมีธนาคารพาณิชย์จำนวน 4 แห่ง หรือเลวร้ายที่สุดควรมีแค่ 5 แห่ง ซึ่งเพียงพอต่อการให้บริการกับประชาชน โดยธนาคารพาณิชย์ที่มีอยู่ปัจจุบันมีจำนวนที่มากเกินไป

สำหรับการควบรวมต้องพิจารณาจากส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 รองลงมาคือ ขนาดของสินทรัพย์ ส่วนความชัดเจนจะมีการควบรวมกี่แห่ง ต้องรอแผนแม่บททางการเงิน ที่จะนำเข้าสู่ที่ประชุมของคณะรัฐมนตรีวันที่ 30 ธ.ค.นี้ และหลังจากนั้นเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมี การเรียกธนาคารพาณิชย์เข้าไปหารือ

"ธนาคารกรุงไทยมีขนาดทรัพย์สิน 1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 20% ของระบบ ถือว่ามีขนาดทรัพย์สินเป็นอันดับ 2 รองจากแบงก์กรุงเทพ ดังนั้นธนาคารกรุงไทยจึงมีความพร้อมที่จะเป็นแกนนำในการควบรวมมากกว่าที่จะถูกควบรวม สำหรับธนาคารแห่งไหนควบรวมกับธนาคารแห่งใด ธปท.จะเป็นผู้รู้ดีที่สุด เพราะเป็นผู้ควบคุมสถาบันการเงิน แต่วันนี้กรุงไทยพร้อมเป็นแกนในการ ควบรวมกิจการอยู่แล้ว" นายวิโรจน์กล่าวถึงความพร้อม

ณ สิ้นวันที่ 31 ตุลาคม ธนาคารมีสินทรัพย์รวม 1.124 ล้านล้านบาท และช่วง 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 6,000 ล้านบาท

นายวิโรจน์กล่าวว่า การควบรวมกิจการ ทางการต้องมีนโยบายที่ชัดเจน เพื่อให้การควบรวมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และไม่ควรให้ธนาคารจับคู่กันเอง เพราะทำให้สะเปะสะปะ และเกิดขึ้นได้ยาก สำหรับการควบรวมขึ้นอยู่กับราคาหุ้นของ 2 สถาบัน และการเปิดเผยข้อมูล สำหรับธนาคารกรุงไทยนั้นถือว่าเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่ จึงเหมาะสำหรับการเป็นแกนนำในการควบรวม และหากไม่ต้องควบรวมกับธนาคารแห่งใด ธนาคารกรุงไทยสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว แต่หากพิจารณาด้านกลยุทธ์ ถ้าธนาคารกรุงไทยไปควบรวมกับธนาคารแห่งอื่น ก็เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าหลังจากการควบรวมความเสรีของธุรกิจธนาคารพาณิชย์จะหมดไป เพราะการทำธุรกิจต่อไปต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกรุงไทยมีอัตราการเติบโตอย่างมาก โดยใน ปี 2545 มีอัตราการขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้น 24% และ ปี 2546 ขยายสินเชื่อ 16-17% ขณะที่ระบบธนาคาร พาณิชย์ขยายสินเชื่อ 1-2% หรือเรียกได้ว่าธนาคารกรุงไทยเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อเพื่อหล่อเลี้ยงระบบ แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทั้งนี้หลังจาก การควบรวมกิจการธนาคารพาณิชย์จะมีความ เข้มแข็งมากขึ้น และสามารถยืนได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องนำเงินภาษีของประชาชนมาอุ้มสถาบันการเงิน เหมือนกับช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ

ไทยพาณิชย์หมดห่วง

นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการ บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวถือว่าเป็นไปตามกระแสของทั่วโลกซึ่งจะเร็วหรือ ช้านั้นต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะธุรกิจธนาคารนั้นขนาดถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก ที่จะทำให้ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจลดลง ซึ่งในส่วนของธนาคารไทยพาณิชย์นั้นไม่ขัดข้องกับกระแสการควบรวมกิจการ แต่ระยะเวลานั้นต้องรอดูอีกครั้งหนึ่ง

สำหรับขนาดของธนาคารไทยพาณิชย์ในปัจจุบันถือว่าใหญ่อยู่แล้ว แต่หากมีขนาดที่ใหญ่กว่านี้ก็จะเป็นการดี ซึ่งประสิทธิภาพต้นทุนของธนาคารในปัจจุบันก็ถือว่าไม่แพ้ใคร ซึ่งหากควบรวมธนาคารก็จะใหญ่ขึ้น ต้นทุนการดำเนินธุรกิจลดลง ส่งผลให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และสิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญในการควบรวมคือ การทำงานร่วมกันได้และเสริมกันได้ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ก็เพื่อให้ธนาคารมีความแข็งแกร่ง มีการบริหารความ เสี่ยงที่ทันสมัยและดีพอ

"เราไม่ขัดข้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในการควบรวม เพราะไม่ว่าจะเหลือธนาคารในประเทศไทยกี่ราย แต่ไทยพาณิชย์ก็ยังคงอยู่ในนั้น ซึ่งเชื่อว่าในอีก 5 ปี การควบรวมของระบบธนาคารพาณิชย์จะเห็น ภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ตอนนี้เรายังไม่มีใครอยู่ในใจ แต่ถ้าเราจะเลือกใครก็ต้องดูว่ามีสิ่งที่มาเสริมกับ เราได้หรือไม่" นายวิชิต กล่าวถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น

กสิกรไทยบอก "เราอยู่ได้"

นายธงชัย เจริญสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า สำหรับธนาคารกสิกรไทย เรื่องควบรวมไม่จำเป็น "เราอยู่ได้"

นายธงชัยกล่าวว่า แนวทางการควบรวมธนาคารพาณิชย์มีมาแล้วในต่างประเทศ ส่วนในไทย แล้วหากควบรวมแล้วดีก็น่าจะดำเนินการ แต่ทุกอย่างต้องใช้เวลาเพราะมีองค์ประกอบการหลายอย่าง ต้องพิจารณา ไม่ว่าเรื่องของนโยบายที่สอดคล้องกันมากหรือน้อยแค่ไหน การประเมินสินทรัพย์ ซึ่งต้องใช้เวลาและควบรวมแล้ว จะมีการแยกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ออกไปทันทีหรือไม่ และที่สำคัญคือเรื่องของพนักงาน

"สิ่งสำคัญที่สุดของการดำเนินธุรกิจแบงก์ การลงทุนเรื่องเทคโนโลยีมีผลสำคัญต่อการแข่งขัน ซึ่งแบงก์ใหญ่ๆ มีความสามารถที่จะลงทุนได้มาก ขณะที่แบงก์ขนาดเล็กแล้วการลงทุนเรื่องเทคโนโลยี ไม่คุ้ม และการรวมธนาคารในภาวะที่เศรษฐกิจดี ก็โอเค" นายธงชัยกล่าว

นางสาวรัชนก ด่านดำรงรักษ์ เจ้าหน้าที่วิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ธนชาติ กล่าวว่า การรองรับการเปิดเสรีทางการเงินในอนาคตและเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน จะทำให้ "ขนาด" เป็นสิ่งสำคัญซึ่งจะนำไปสู่การประหยัดต่อขนาด (Economy of scale)

ส่วนความเคลื่อนไหวราคาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ (23 ธ.ค.) ดัชนีหุ้นกลุ่มแบงก์ปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงเช้า หลังจากได้รับทราบนโยบายการควบรวมกิจการธนาคาร หากพิจารณาหุ้นเป็นรายตัว ปรากฏว่าหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับตัวลดลงเกือบทั้งกระดาน มีเพียงธนาคารกรุงไทย ( KTB) เพียงตัวเดียว ที่ราคา หุ้นยืนอยู่เหนือราคาปิดวันก่อน และปิดการซื้อ ขายที่ 10.04 บาท เพิ่มขึ้น 1.96% ขณะที่หุ้นธนาคาร พาณิชย์ที่ปรับตัวลดลงมากสุด 3 อันดับแรกคือ ธนาคารดีบีเอสไทยทนุ (DTDB) ปิดที่ 5.15 บาท ลดลง 2.83% ธนาคารทหารไทย (TMB) 5.55 บาท ลดลง 2.63% และธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) 46.50 บาท ลดลง 2.62%



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.