สำหรับคอเบียร์ Heineken แล้ว หน้าหนาวนี้คงได้มีโอกาสเห็นความแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นกับ Heineken เมื่อสามารถสั่งเบียร์สด (Draught Beer) ได้ในร้านอาหารระดับหรูแต่มีพื้นที่ไม่กว้างขวางนัก ซึ่งแต่เดิมในร้านประเภทนี้ไม่เคยมีเบียร์สดขายมาก่อน

Easy Draught คือเครื่องผลิตเบียร์สดประเภทใหม่ ที่ Heineken ได้นำออกมาให้บริการสำหรับร้านอาหารประเภทดังกล่าวในประเทศไทย ในปี 2546 เป็นปีแรก

"ถือเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด ด้วยการแนะนำเบียร์สดเกรด Premium คุณภาพสูงสู่ร้านค้าย่อยที่อาจมียอดขายไม่สูงนัก โดยเป็นร้านที่ลูกค้าระดับบนส่วนใหญ่จะนิยมมาบ่อย แต่ปัจจุบันไม่สามารถจะสต็อกเบียร์สดไว้ขายได้ เพราะยอดขายอาจจะไม่เพียงพอสำหรับเครื่องขายเบียร์สดแบบเดิม" เจฟฟรี่ย์ คิมเบิล ผู้อำนวยการฝ่ายการค้า บริษัทไทยเอเซีย แปซิฟิค บริวเวอรี่ ผู้ผลิตและจำหน่ายเบียร์ Heineken ในประเทศไทย บอก

Easy Draught มีความแตกต่างจากเครื่องผลิตเบียร์สดปกติ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ถังบรรจุขนาดใหญ่ถึง 30 ลิตร แต่ Easy Draught จะใช้ถังบรรจุเพียง 20 ลิตร และด้วยกระบวนการผลิตที่เพิ่งคิดค้นได้ ใหม่ ถังบรรจุเบียร์สดของ Easy Draught สามารถเก็บเบียร์ไว้ได้ถึง 21 วัน จากเดิมที่มีอายุการเก็บเพียง 3 วัน

Heineken ได้ใช้งบประมาณถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 800 ล้านบาท สำหรับการพัฒนา Easy Draught ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ให้เป็นระบบจำหน่ายเบียร์สดที่มีขนาดเล็กลง แต่สามารถเก็บสต็อกไว้ได้นานขึ้น และยังใช้งบประมาณอีก 40 ล้านบาท สำหรับการนำระบบดังกล่าวเข้ามาพัฒนาเพื่อขายในประเทศไทย

Heineken เริ่มนำเครื่อง Easy Draught มาให้บริการในร้านอาหารจำนวน 200 แห่ง ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่ 2 ที่ Heineken นำระบบนี้เข้ามาใช้ต่อจากสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศแรก

Heineken ได้วางเป้าหมายไว้ว่าจะเพิ่มจุดวางเครื่องผลิตเบียร์สด Easy Draught เพิ่มขึ้นอีก 150-200 ร้านในปีนี้ โดยร้านอาหารที่มีความประสงค์จะนำเครื่องนี้ไปวาง จะต้องมียอดขายขั้นต่ำ 10 ถังต่อเดือน

Easy Draught เป็น 1 ในกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก สำหรับธุรกิจเบียร์สด ที่มีสัดส่วนยอดขายประมาณ 7-8% ของยอดขายรวมทั้งหมดของ Heineken ซึ่งเป็นเบียร์เกรด Premium ที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในประเทศไทย ครองส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 80% ของยอดขายรวมของเบียร์ในเกรดเดียวกัน

ผลประกอบการปี 2546 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา Heineken ในประเทศไทย มียอดจำหน่ายสูงถึง 6,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากยอดขายในปี 2545 ที่ทำได้ 6,000 ล้านบาท ส่วนปี 2547 Hrineken ได้คาดหมายไว้ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นอีก 10% โดยมีแผนว่าจะใช้เงินลงทุนถึง 650 ล้านบาท สำหรับการทำตลาดโดยเฉพาะ