บอร์ดกนท. ไฟเขียวแผนแปลงสภาพ กฟน. และกฟผ.เป็นบริษัททั้งองค์กร วาง เป้าแปลงสภาพเป็นบริษัทเรียบ
ร้อยภายในไตรมาสแรก และไตรมาส 2 ปีหน้า ก่อนจะแปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์ในเดือนมิ.ย.
และ ก.ย. ตามลำดับ ขณะที่ผู้บริหารทั้ง 2 หน่วยงาน ยืนยันความพร้อม กระจายหุ้นได้กลางปี
2547
นายวราเทพ รัตนากร รัฐมน-ตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ
(กนท.) ซึ่งมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน วานนี้ (22 ธ.ค.)
ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบ แนวทางการแปลงสภาพการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
(กฟภ.) เป็น บริษัททั้งองค์กร โดยใช้พระราชบัญญัติทุนนโยบายรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542
และได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานดำเนินการให้เกิดความ ชัดเจนในเรื่องโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
และการชดเชยรายได้ของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ให้แล้วเสร็จก่อนการกระจายหุ้นของกิจการไฟฟ้าในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป
ทั้งนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติในหลักการ
และให้มีคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ตามมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ
เพื่อ พิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัท โดยคาดว่าการแปลงสภาพเป็นบริษัทของ
กฟน.และกฟภ.จะดำเนินการแล้วเสร็จภายในไตรมาสแรก และไตรมาสที่สองของปี 2547 ตามลำดับ
นายวราเทพ กล่าวว่า ผลการประชุมในครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากมติครม. เมื่อวันที่
9 ธันวาคม 2546 ที่เห็นชอบเรื่องโครงสร้างกิจการไฟฟ้าแบบ Enhanced Single Buyer
(ESB) โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้ดำเนินการผลิตและส่งไฟฟ้า
เช่นเดียวกับปัจจุบัน และเป็นผู้ซื้อขายไฟฟ้าราย เดียว ส่งกระแสไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
คือ กฟน. และกฟภ. ซึ่งจะเป็นผู้ดำเนินการระบบจำหน่ายและการค้าปลีกไฟฟ้าภายในพื้นที่รับผิดชอบของตนเอง
ขณะที่แนวทางกำกับดูแล โดยจะให้มีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลภายใต้กระทรวงการคลัง
เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการไฟฟ้า ราคาค่าบริการ พร้อมทั้งดูแลให้ความเป็นธรรมกับนักลง
ทุนและคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับคุณภาพการบริการที่ดี
ด้านนายไพจิตร เทียนไพฑูรย์ ผู้ว่าการ การ ไฟฟ้าภูมิภาค (กฟภ.) กล่าวว่า ปัจจุบัน
กฟภ.มี สินทรัพย์ทั้งสิ้นประมาณ 180,000 ล้านบาท เป็น ทุนจำนวน 64,000 ล้านบาท
คาดว่าจะสามารถดำเนินการแปรสภาพเป็นบริษัท จำกัด ได้ภาย ในเดือนมิถุนายน 2547 และจะสามารถกระจายหุ้นให้กับประชาชนและจดทะเบียนในตลาด
หลักทรัพย์ ได้เรียบร้อยภายในเดือน กันยายน 2547 โดยในเบื้องต้นบริษัทที่ปรึกษาเห็นควรกำหนดทุนจดทะเบียนเริ่มต้น
700 ล้านหุ้น มูลค่า หุ้นละ 10 บาท หรือ คิดเป็นมูลค่ารวม 7,000 ล้าน
สำหรับเงินที่ได้จากการกระจายหุ้นจำนวน 7,000 ล้านบาท นั้น โดยปกติจะต้องตกเป็นของกระทรวงการคลังทั้งหมด
ซึ่งหลังจากนั้นหาก กฟภ.เข้าเพิ่มทุนกำไรส่วนที่ได้มาก็จะเป็นของ กฟภ.เอง โดยเงินที่ได้อาจจะนำไปลดหนี้ที่มีอยู่ประมาณ
120,000 ล้านบาท หรือนำไปขยายงาน ของบริษัท รวมทั้งอาจจะเปิดโครงการใหม่เพื่อเพื่อต่อยอดกำไรมากขึ้น
"ในการกระจายหุ้นเข้าตลาด จริงๆ แล้ว สามารถกระจายได้ประมาณกลางปีก็ได้
เพราะบริษัทเรามีความพร้อมในเรื่องนี้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องชื่อของบริษัทมีคิดไว้แล้ว
แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยตอนนี้ได้ คงต้องรอให้คณะกรรมการจัดตั้งบริษัทเป็นผู้ลงมติก่อน"
นายไพจิตร กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 2546 กฟภ. มีกำไรประมาณ 5,091 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ที่ประมาณ
3,820 ล้านบาท หรือประมาณ 33% คิดเป็นมูลค่า 1,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2547 กฟภ.
ได้ตั้งเป้ากำไรเพิ่มจากยอดกำไรของปีนี้ อีก 10% ตามนโยบายพัฒนารัฐวิสาหกิจของรัฐบาล
นายชลิต เรืองวิเศษ ผู้ว่าการ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) กล่าวว่า ปัจจุบัน กฟน.มีสิน
ทรัพย์ประมาณ 100,000 ล้านบาท และได้ตั้งเป้า หมายว่า จะสามารถแปลงสภาพเป็นบริษัทจำกัด
ได้ภายในวันที่ 1 เมษายน 2547 และจะสามารถ กระจายหุ้นในตลาดฯ ได้เรียบร้อยภายในเดือน
มิถุนายน 2547 ซึ่งหากผ่านมติครม.จะเป็นไปตามกำหนดการตามที่ตั้งไว้ ส่วนทุนจดทะเบียนเบื้องต้นนั้น
ต้องรอให้คณะกรรมการเตรียมการ จัดตั้งเป็นผู้พิจารณาก่อน