การไฟฟ้าเข้าตลท.47 พร้อมขายหุ้นกลางปี


ผู้จัดการรายวัน(23 ธันวาคม 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

บอร์ดกนท. ไฟเขียวแผนแปลงสภาพ กฟน. และกฟผ.เป็นบริษัททั้งองค์กร วาง เป้าแปลงสภาพเป็นบริษัทเรียบ ร้อยภายในไตรมาสแรก และไตรมาส 2 ปีหน้า ก่อนจะแปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์ในเดือนมิ.ย. และ ก.ย. ตามลำดับ ขณะที่ผู้บริหารทั้ง 2 หน่วยงาน ยืนยันความพร้อม กระจายหุ้นได้กลางปี 2547

นายวราเทพ รัตนากร รัฐมน-ตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ (กนท.) ซึ่งมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน วานนี้ (22 ธ.ค.) ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบ แนวทางการแปลงสภาพการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็น บริษัททั้งองค์กร โดยใช้พระราชบัญญัติทุนนโยบายรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 และได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานดำเนินการให้เกิดความ ชัดเจนในเรื่องโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า และการชดเชยรายได้ของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ให้แล้วเสร็จก่อนการกระจายหุ้นของกิจการไฟฟ้าในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป

ทั้งนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติในหลักการ และให้มีคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ตามมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ เพื่อ พิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัท โดยคาดว่าการแปลงสภาพเป็นบริษัทของ กฟน.และกฟภ.จะดำเนินการแล้วเสร็จภายในไตรมาสแรก และไตรมาสที่สองของปี 2547 ตามลำดับ

นายวราเทพ กล่าวว่า ผลการประชุมในครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากมติครม. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2546 ที่เห็นชอบเรื่องโครงสร้างกิจการไฟฟ้าแบบ Enhanced Single Buyer (ESB) โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้ดำเนินการผลิตและส่งไฟฟ้า เช่นเดียวกับปัจจุบัน และเป็นผู้ซื้อขายไฟฟ้าราย เดียว ส่งกระแสไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย คือ กฟน. และกฟภ. ซึ่งจะเป็นผู้ดำเนินการระบบจำหน่ายและการค้าปลีกไฟฟ้าภายในพื้นที่รับผิดชอบของตนเอง

ขณะที่แนวทางกำกับดูแล โดยจะให้มีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลภายใต้กระทรวงการคลัง เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการไฟฟ้า ราคาค่าบริการ พร้อมทั้งดูแลให้ความเป็นธรรมกับนักลง ทุนและคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับคุณภาพการบริการที่ดี

ด้านนายไพจิตร เทียนไพฑูรย์ ผู้ว่าการ การ ไฟฟ้าภูมิภาค (กฟภ.) กล่าวว่า ปัจจุบัน กฟภ.มี สินทรัพย์ทั้งสิ้นประมาณ 180,000 ล้านบาท เป็น ทุนจำนวน 64,000 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถดำเนินการแปรสภาพเป็นบริษัท จำกัด ได้ภาย ในเดือนมิถุนายน 2547 และจะสามารถกระจายหุ้นให้กับประชาชนและจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ ได้เรียบร้อยภายในเดือน กันยายน 2547 โดยในเบื้องต้นบริษัทที่ปรึกษาเห็นควรกำหนดทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 700 ล้านหุ้น มูลค่า หุ้นละ 10 บาท หรือ คิดเป็นมูลค่ารวม 7,000 ล้าน

สำหรับเงินที่ได้จากการกระจายหุ้นจำนวน 7,000 ล้านบาท นั้น โดยปกติจะต้องตกเป็นของกระทรวงการคลังทั้งหมด ซึ่งหลังจากนั้นหาก กฟภ.เข้าเพิ่มทุนกำไรส่วนที่ได้มาก็จะเป็นของ กฟภ.เอง โดยเงินที่ได้อาจจะนำไปลดหนี้ที่มีอยู่ประมาณ 120,000 ล้านบาท หรือนำไปขยายงาน ของบริษัท รวมทั้งอาจจะเปิดโครงการใหม่เพื่อเพื่อต่อยอดกำไรมากขึ้น

"ในการกระจายหุ้นเข้าตลาด จริงๆ แล้ว สามารถกระจายได้ประมาณกลางปีก็ได้ เพราะบริษัทเรามีความพร้อมในเรื่องนี้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องชื่อของบริษัทมีคิดไว้แล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยตอนนี้ได้ คงต้องรอให้คณะกรรมการจัดตั้งบริษัทเป็นผู้ลงมติก่อน" นายไพจิตร กล่าว

ทั้งนี้ ในปี 2546 กฟภ. มีกำไรประมาณ 5,091 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ที่ประมาณ 3,820 ล้านบาท หรือประมาณ 33% คิดเป็นมูลค่า 1,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2547 กฟภ. ได้ตั้งเป้ากำไรเพิ่มจากยอดกำไรของปีนี้ อีก 10% ตามนโยบายพัฒนารัฐวิสาหกิจของรัฐบาล

นายชลิต เรืองวิเศษ ผู้ว่าการ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) กล่าวว่า ปัจจุบัน กฟน.มีสิน ทรัพย์ประมาณ 100,000 ล้านบาท และได้ตั้งเป้า หมายว่า จะสามารถแปลงสภาพเป็นบริษัทจำกัด ได้ภายในวันที่ 1 เมษายน 2547 และจะสามารถ กระจายหุ้นในตลาดฯ ได้เรียบร้อยภายในเดือน มิถุนายน 2547 ซึ่งหากผ่านมติครม.จะเป็นไปตามกำหนดการตามที่ตั้งไว้ ส่วนทุนจดทะเบียนเบื้องต้นนั้น ต้องรอให้คณะกรรมการเตรียมการ จัดตั้งเป็นผู้พิจารณาก่อน



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.