แอคคอร์ปักธงตลาดไทยเร่งมือบริหารเชนโรงแรม


ผู้จัดการรายวัน(22 ธันวาคม 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

แอคคอร์ปักธงไทย ฐานใหญ่ในเอเชีย ลุยขยายเครือข่ายรับบริหารเชนโรงแรม คาดภายในปี 2548 มีเครือข่ายมากถึง 28 แห่ง หลังจากเข้ามาไทยแค่ 2 ปี รับบริหารแล้ว 6 แห่ง มั่นใจท่องเที่ยวไทยไปได้สวย เผยปีนี้รับบริหารแล้ว อีก 3 แห่งที่พัทยา และหนองคาย

นายไมเคิล ไอเซนเบิร์ก กรรมการ ผู้จัดการ แอคคอร์ เอเชีย แปซิฟิก ผู้บริหารเชนโรงแรมโซฟิเทล โนโวเทล เมอร์เคียว เปิดเผยว่าปีนี้แอคคอร์ได้ประกาศขยายเครือข่ายการบริหารโรงแรมในประเทศไทย 3 แห่ง คือ เมอร์เคียว หนองคาย 120 ห้อง เดิมใช้ชื่อแกรนด์ โฮเท็ล หนองคาย ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการตกแต่งห้องพักและตัวอาคารใหม่ จะเปิดให้บริการในเดือนม.ค.2547 ส่วนอีก 2 โรงแรม จะอยู่ในพัทยา โดยกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คือ โนโวเทล การ์เด้น คลิฟ รีสอร์ต จำนวน 234 ห้อง ตั้งอยู่บนชายหาดพัทยาเหนือใกล้ ปาล์ม บีช และวัดโบราณ ซึ่งเป็นวัดไม้แกะสลักที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และโรงแรมเมอร์เคียว พัทยา จำนวน 253 ห้อง ตั้งอยู่ระหว่างถนนสายสอง และสายสามในเขต พัทยาใต้ สำหรับโรงแรม 2 แห่งในพัทยาจะเปิด ให้บริการในปี 2548

ส่วนปีหน้าแอคคอร์จะประกาศการขยายเครือข่ายบริหารโรงแรมในไทยอีก 3 แห่ง ขณะนี้มีสามารถบอกได้ 1 แห่ง คือ โรงแรม โซฟิเทล สุขุมวิท ระดับ 5 ดาว จำนวน 380 ห้อง จะเปิดบริการในปี 2548 อีก 2 แห่งจะประกาศในปีหน้า

ปัจจุบันแอคคอร์มีเครือข่ายบริหารโรงแรม ในประเทศไทย 18 แห่ง ปีนี้ประกาศบริหารเพิ่ม 3 แห่ง ปีหน้าอีก 3 แห่ง รวมเป็น 24 แห่ง แอคคอร์คาดว่าในปี 2548 จะเข้าบริหารโรงแรมในประเทศไทยทั้งหมด 25 แห่ง โดยแอคคอร์ถือเป็นเชนโรงแรมที่ขยายเครือข่ายเข้ามาในประเทศไทยมากที่สุดในปีนี้และปีหน้า

"ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีการแข่งขันธุรกิจ โรงแรมค่อนข้างสูง มีโรงแรมเกิดใหม่จำนวนมาก แต่ถือเป็นประเทศที่ภาพรวมเศรษฐกิจขยายตัวสูงเช่นกัน อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง เชื่อว่าในอนาคตความต้องการของนักท่องเที่ยวจะไล่ตามทันการขยายตัวของธุรกิจโรงแรม" นายไอเซนเบิร์ก กล่าว

อย่างไรก็ตามพบว่า เศรษฐกิจเอเชีย เป็นภูมิภาคที่มีอัตราขยายตัวสูงสุดเมื่อเทียบกับ ภูมิภาคอื่นๆ โดยเฉพาะยุโรป และสหรัฐฯที่ภาวะเศรษฐกิจคงที่ แอคคอร์จึงมุ่งขยายเครือข่ายการบริหารมายังเอเชียเป็นหลัก ในปีนี้และปีหน้าได้ประกาศขยายเครือข่ายบริหารในประเทศญี่ปุ่นเป็นอันดับหนึ่ง คาดว่าจะมากกว่า 9 แห่ง อันดับสองประเทศจีน จำนวน 9 แห่ง และไทยเป็นอันดับ 3 จำนวน 6 แห่ง

ขณะนี้แอคคอร์มีเชนบริหารในจีนจำนวน 22 แห่ง ส่วนญี่ปุ่น 7 แห่ง โดยทั้ง 2 ประเทศ มีโอกาสขยายตัวได้สูง โดยเฉพาะในจีนที่ธุรกิจท่องเที่ยวกำลังขยายตัว ขณะที่โรงแรมยังมีจำนวนน้อย ซึ่งแอคคอร์กำลังพิจารณานำเชนโรงแรมโลว์ คอสต์ ภายใต้ชื่อ IBIS เข้าไปบริหาร หลังจากเปิดบริการแล้วในอินโดนีเซีย และ ญี่ปุ่น ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้บริโภคสูงมาก แต่คงไม่นำเชนโรงแรมโลว์ คอสต์ เข้ามาในประเทศไทยช่วงนี้ เพราะตลาดมีโอกาสขยายเชนระดับ 4-5 ดาวได้ดีกว่า สำหรับตลาดญี่ปุ่นเชนแอคคอร์ยังเข้าไปบริหารเป็นจำนวนน้อย ทำให้มีโอกาสขยายตัวได้มากเมื่อเทียบกับ เชนอื่นๆ

นายไอเซนเบิร์ก กล่าวต่อว่า ผลประกอบการของกลุ่มแอคคอร์ในประเทศไทยปีนี้ โดยเฉลี่ยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 65% เท่ากับปีก่อน แต่อยู่ในระดับที่แอคคอร์พอใจ เพราะปีนี้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเอเชียได้รับผลกระทบจากสงครามสหรัฐฯ-อิรัก และการแพร่ระบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (ซาร์ส) ส่วนปีหน้าคาดว่าจะมีอัตราการเข้าพักจะขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 6-7% และถือเป็นปีที่เศรษฐกิจ ไทยขยายตัวสูงอีกปี



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.