แอคคอร์ปักธงไทย ฐานใหญ่ในเอเชีย ลุยขยายเครือข่ายรับบริหารเชนโรงแรม คาดภายในปี
2548 มีเครือข่ายมากถึง 28 แห่ง หลังจากเข้ามาไทยแค่ 2 ปี รับบริหารแล้ว 6 แห่ง
มั่นใจท่องเที่ยวไทยไปได้สวย เผยปีนี้รับบริหารแล้ว อีก 3 แห่งที่พัทยา และหนองคาย
นายไมเคิล ไอเซนเบิร์ก กรรมการ ผู้จัดการ แอคคอร์ เอเชีย แปซิฟิก ผู้บริหารเชนโรงแรมโซฟิเทล
โนโวเทล เมอร์เคียว เปิดเผยว่าปีนี้แอคคอร์ได้ประกาศขยายเครือข่ายการบริหารโรงแรมในประเทศไทย
3 แห่ง คือ เมอร์เคียว หนองคาย 120 ห้อง เดิมใช้ชื่อแกรนด์ โฮเท็ล หนองคาย ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการตกแต่งห้องพักและตัวอาคารใหม่
จะเปิดให้บริการในเดือนม.ค.2547 ส่วนอีก 2 โรงแรม จะอยู่ในพัทยา โดยกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
คือ โนโวเทล การ์เด้น คลิฟ รีสอร์ต จำนวน 234 ห้อง ตั้งอยู่บนชายหาดพัทยาเหนือใกล้
ปาล์ม บีช และวัดโบราณ ซึ่งเป็นวัดไม้แกะสลักที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และโรงแรมเมอร์เคียว
พัทยา จำนวน 253 ห้อง ตั้งอยู่ระหว่างถนนสายสอง และสายสามในเขต พัทยาใต้ สำหรับโรงแรม
2 แห่งในพัทยาจะเปิด ให้บริการในปี 2548
ส่วนปีหน้าแอคคอร์จะประกาศการขยายเครือข่ายบริหารโรงแรมในไทยอีก 3 แห่ง ขณะนี้มีสามารถบอกได้
1 แห่ง คือ โรงแรม โซฟิเทล สุขุมวิท ระดับ 5 ดาว จำนวน 380 ห้อง จะเปิดบริการในปี
2548 อีก 2 แห่งจะประกาศในปีหน้า
ปัจจุบันแอคคอร์มีเครือข่ายบริหารโรงแรม ในประเทศไทย 18 แห่ง ปีนี้ประกาศบริหารเพิ่ม
3 แห่ง ปีหน้าอีก 3 แห่ง รวมเป็น 24 แห่ง แอคคอร์คาดว่าในปี 2548 จะเข้าบริหารโรงแรมในประเทศไทยทั้งหมด
25 แห่ง โดยแอคคอร์ถือเป็นเชนโรงแรมที่ขยายเครือข่ายเข้ามาในประเทศไทยมากที่สุดในปีนี้และปีหน้า
"ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีการแข่งขันธุรกิจ โรงแรมค่อนข้างสูง มีโรงแรมเกิดใหม่จำนวนมาก
แต่ถือเป็นประเทศที่ภาพรวมเศรษฐกิจขยายตัวสูงเช่นกัน อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
เชื่อว่าในอนาคตความต้องการของนักท่องเที่ยวจะไล่ตามทันการขยายตัวของธุรกิจโรงแรม"
นายไอเซนเบิร์ก กล่าว
อย่างไรก็ตามพบว่า เศรษฐกิจเอเชีย เป็นภูมิภาคที่มีอัตราขยายตัวสูงสุดเมื่อเทียบกับ
ภูมิภาคอื่นๆ โดยเฉพาะยุโรป และสหรัฐฯที่ภาวะเศรษฐกิจคงที่ แอคคอร์จึงมุ่งขยายเครือข่ายการบริหารมายังเอเชียเป็นหลัก
ในปีนี้และปีหน้าได้ประกาศขยายเครือข่ายบริหารในประเทศญี่ปุ่นเป็นอันดับหนึ่ง คาดว่าจะมากกว่า
9 แห่ง อันดับสองประเทศจีน จำนวน 9 แห่ง และไทยเป็นอันดับ 3 จำนวน 6 แห่ง
ขณะนี้แอคคอร์มีเชนบริหารในจีนจำนวน 22 แห่ง ส่วนญี่ปุ่น 7 แห่ง โดยทั้ง 2 ประเทศ
มีโอกาสขยายตัวได้สูง โดยเฉพาะในจีนที่ธุรกิจท่องเที่ยวกำลังขยายตัว ขณะที่โรงแรมยังมีจำนวนน้อย
ซึ่งแอคคอร์กำลังพิจารณานำเชนโรงแรมโลว์ คอสต์ ภายใต้ชื่อ IBIS เข้าไปบริหาร หลังจากเปิดบริการแล้วในอินโดนีเซีย
และ ญี่ปุ่น ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้บริโภคสูงมาก แต่คงไม่นำเชนโรงแรมโลว์ คอสต์
เข้ามาในประเทศไทยช่วงนี้ เพราะตลาดมีโอกาสขยายเชนระดับ 4-5 ดาวได้ดีกว่า สำหรับตลาดญี่ปุ่นเชนแอคคอร์ยังเข้าไปบริหารเป็นจำนวนน้อย
ทำให้มีโอกาสขยายตัวได้มากเมื่อเทียบกับ เชนอื่นๆ
นายไอเซนเบิร์ก กล่าวต่อว่า ผลประกอบการของกลุ่มแอคคอร์ในประเทศไทยปีนี้ โดยเฉลี่ยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย
65% เท่ากับปีก่อน แต่อยู่ในระดับที่แอคคอร์พอใจ เพราะปีนี้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเอเชียได้รับผลกระทบจากสงครามสหรัฐฯ-อิรัก
และการแพร่ระบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (ซาร์ส) ส่วนปีหน้าคาดว่าจะมีอัตราการเข้าพักจะขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ
6-7% และถือเป็นปีที่เศรษฐกิจ ไทยขยายตัวสูงอีกปี