ย่างเข้าปีวัว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสดใสขึ้น ตลาดบ้านและที่อยู่อาศัยยังคงซบเซา
และปีนี้ พนิดา เทพกาญจนา กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท อัมรินทร์พลาซ่า
จำกัด (มหาชน) ต้องรับศึกหนักกับโครงการพหลโยธินพาร์คซึ่งเป็นการขายโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบโครงการแรกของเครืออัมรินทร์พลาซ่า
ทำไมเครืออัมรินทร์ต้องมาสร้างบ้านและคอนโดมิเนียมขายในช่วงที่มีการแข่งขันกันสูง เป็นคำถามที่หลายคนอาจจะสงสัย
เพราะที่ผานมานอกจากธุรกิจน้ำตาลซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิมของบริษัทแล้ว บริษัทยังขยายงานไปทางด้านโรงแรม
ศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานเช่น โรงแรมแกรนด์ไฮแอทเอราวัณอัมรินทร์ทาวเออร์
แกรนด์อัมรินทร์ทาวเออร์ เพลินจิตเซ็นเตอร์ ซึ่งธุรกิจพวกนั้นถูกผลกระทบที่ไม่รุนแรงนัก
"ที่จริงแล้วทางเราสนใจในการทำที่อยู่อาศัยมาตลอดแต่หาที่ดินที่มีศักยภาพยากที่ได้มา
ก็มักมีพื้นที่ไม่มากแล้วอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งทำจัดสรรยากก็เลยต้องทำเป็นศูนย์การค้าหรือโรงแรมไป จนกระทั่งมาได้ที่ดินแปลงนี้"
พนิดา เล่าถึงที่มาของโครงการ พหลโยธินพาร์ค ที่ดินแปลงที่ว่ากว้างใหญ่ถึง
21 ไร่ ในซอยพหลโยธิน 14 ซึ่งคุณยายน้ำทอง เจ้าของที่ดินรายใหญ่เก่าแก่รายหนึ่ง
เพิ่งตัดสินใจขายให้กับบริษัทเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมานี่เอง และเมื่อได้ที่ดินแปลงนี้มาทางบริษัทก็ลงมือวาดฝันทำโครงการที่อยู่อาศัยทันที
โดยแบ่งเป็นพื้นที่ของโครงการบ้านเดี่ยว 13 ไร่ ในส่วนของคอนโดมิเนียมประมาณ
7 ไร่กว่า โดยในส่วนของบ้านเดี่ยวนั้น ได้เปิดโครงการขายตั้งแต่ต้นปี 2539
ส่วนคอนโดมิเนียมนั้นเปิดขายในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
แม้เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดทางด้านที่อยู่อาศัยจะยังคงค่อนข้างซบเซา แต่กลุ่มอัมรินทร์
ก็ตัดสินใจที่จะทำโครงการออกมาแข่งขันในตลาดด้วยความมั่นใจในเหตุผลสำคัญหลักๆ
คือ มั่นใจว่าคนส่วนใหญ่ยังต้องการที่อยู่อาศัยในลักษณะของบ้านเดี่ยวในเมือง
เพื่อความลงตัวของการอยู่อาศัยและการทำงาน แต่หาซื้อไม่ได้เพราะที่ดินแปลงใหญ่หายาก
และราคาค่อนข้างสูง จึงไม่มีใครพัฒนาขาย โครงการบ้านเดี่ยวส่วนใหญ่จึงอยู่ไกลออกไปถึงชานเมือง
ซึ่งสร้างปัญหาในการเดินทางให้กับลูกค้า
เมื่อได้ที่ดินมาแล้วก็เพิ่มจุดเด่นของโครงการอีกอย่างหนึ่งก็คือการมีพื้นที่เปิดโล่งถึง
65% โดยใช้แนวคิดในการออกแบบที่ว่าสร้างสวนก่อนถึงจะเอาบ้านใส่เข้าไปทำให้ไม่มีความแออัด
เมื่อส่วนใหญ่ของพื้นที่เป็นสีเขียวบ้านเดี่ยวของโครงการนี้จึงมีเพียง 40
หลังเท่านั้น ในพื้นที่เริ่มจาก 71-140 ตารางวาราคา เริ่มตั้งแต่ 17 ล้านบาทขึ้นไป
อย่างไรก็ตามเพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยในเมือง ทางกลุ่มจึงกำหนดให้มีคอนโดมิเนียมด้วยแต่เป็นโครงการคอนโดฯ
4 อาคารสูงเพียง 7 ชั้นๆ ละ 8 ยูนิต โดยมีขนาดห้องตั้งแต่ 88 ตารางเมตร ถึง
105 ตารางเมตร ราคาเริ่มที่ 3.5 ล้านบาท
พนิดาอาจจะตัดสินใจถูกที่เปิดคอนโดฯ ระดับราคาปานกลางขึ้นมารองรับโครงการนี้เพราะการขายอาจจะง่ายกว่าการขายบ้านราคาแพงเพียงอย่างเดียว
และทั้งหมดคือความมั่นใจที่ว่าเมื่อทางบริษัทได้วางตำแหน่งสินค้าชัดเจน
มีจุดขายที่โดดเด่น ถึงแม้ว่าภาวะโดยรวมของธุรกิจประเภทนี้จะไม่ดีนักแต่ก็มั่นใจว่าโครงการนี้ประสบความสำเร็จ
บนถนนพหลโยธิน เป็นถนนเส้นหนึ่งที่ปัจจุบันโครงการที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงานเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นถนนเส้นที่มีเครือข่ายของระบบขนส่งมวลชนหลายโครงการ
เช่น ทางขึ้นลงเส้นทางด่วน ระบบรถไฟฟ้า และที่สำคัญ โครงการสถานีขนส่งกรุงเทพ
ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงการใช้พื้นที่ตรงสถานีขนส่งหมอชิตเดิมให้ทันสมัยเต็มรูปแบบ
กำหนดแล้วเสร็จประมาณปี 2542 ก็จะยิ่งเพิ่มความเจริญให้กับย่านนี้
แน่นอนวันนี้เครืออัมรินทร์พลาซ่าต้องเจอกับคู่แข่งบนถนนสายเดียวกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่จะเป็นบริษัทที่ช่ำชองทางด้านที่อยู่อาศัยมาหลายโครงการเช่น
แนเชอรัลสวีทของกลุ่มแนเชอรัลปาร์ค ศุภาลัยปาร์ค ของบริษัทศุภาลัย จำกัด (มหาชน)
บางกอกโดม ของกลุ่มยูนิเวสแลนด์ เพียงแต่ว่ารูปแบบในโครงการอาจจะต่างกัน
เพราะโครงการเหล่านั้นเป็นโครงการที่อยู่อาศัยในตึกสูงที่มีจำนวนยูนิตค่อนข้างสูง
แต่แน่นอนว่าจะมีจุดเด่นตรงราคาจะต่ำกว่าพหลโยธินพาร์ค
เครืออัมรินทร์พลาซ่ากรุ๊ปเป็นการรวมตัวผนึกกำลังกันระหว่างตระกูลว่องกุศลกิจและตระกูลวัธนเวคิน ปัจจุบันโครงสร้างใหม่ของบริษัทเมื่อปรับแล้วจะแบ่งเป็นธุรกิจโรงแรม
และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ส่วนผลประกอบการในปี 2539 งวด 9 เดือน พบว่าเครืออัมรินทร์มีรายได้ 1,239
ล้านบาท ค่าใช้จ่าย 1,125 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 77 ล้านบาท