ช่วงที่ตลาดหุ้นไทยเริ่มฟื้นตัวเมื่อกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ดร.สมคิดเป็น 1
ในนักวิชาการซึ่งเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาของนักลงทุน ในฐานะผู้บรรยายให้ความรู้พื้นฐานในการเล่นหุ้น
แต่วันนี้ภาพดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
ชื่อของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้ปรากฏต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก ในฐานะวิทยากรในการสัมมนาหัวข้อ
"
การวิเคราะห์งบการเงิน และการประเมินมูลค่าหุ้น" ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ร่วม กับมูลนิธิสายใจไทยที่โรงแรมเซ็นทรัล พลาซ่า เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม
2531 เป็นการสัมมนาซึ่งจัดขึ้นภายหลังตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ประสบกับวิกฤติจากเหตุการณ์
"แบล็คมันเดย์" เพียง 9 เดือนและ บรรยากาศการซื้อขายหุ้นในขณะนั้น
ได้เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากซบเซาจากวิกฤติการณ์ดังกล่าวมาเป็นเวลาหลายเดือน
วิทยากรที่ร่วมบรรยายกับ ดร.สมคิดในวันนั้น ประกอบด้วยดร.มารวย ผดุงสิทธิ์
กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทย ธวัช ภูษิตโภยไคย, ดร.กุลภัทรา
เวทย์วิวรณ์, ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ และดร.พิพัฒน์ พิทยาอัจฉริยกุล
2 รายหลัง ได้กลายเป็นกลุ่มนักวิชาการที่ตระเวนบรรยายเรื่อง เกี่ยวกับการลงทุนร่วมกับ
ดร.สมคิด อีกหลายรายการในเวลาต่อมา
ปี 2530 เป็นปีที่คนไทยเริ่มตื่นตัวในการนำเงินออมเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น
เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว ประกอบ กับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในขณะนั้นอยู่ในระดับต่ำ
แต่พื้นฐานความรู้ของนักลงทุนไทยในระยะนั้นยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ การตัดสินใจซื้อขายหุ้นในช่วงนั้น
อาศัยคำแนะนำของโบรกเกอร์ หรือเล่นตามข่าวเป็นหลัก
สูตรการวิเคราะห์หลักทรัพย์ ก็ยึดอยู่บนพื้นฐานเพียงแค่การดู ตัวเลขอัตราส่วนราคาต่อรายได้
(P/E Ratio) และผลตอบแทนจาก เงินปันผล (Dividend Yield) เป็นสำคัญ ส่วนพวกที่อาศัยจิตวิทยา
ในการลงทุน ก็จะดูแต่เส้นกราฟ โดยไม่สนใจตัวเลขพื้นฐานของบริษัท
"พวกนักเล่นหุ้นในช่วงนั้นคิดกันแค่ตัวเลข เหมือนกับม้าลำปาง คือ มองตรงอย่างเดียว"
ดร.สมคิดให้คำนิยามกับ "ผู้จัดการ"
การเกิดเหตุการณ์แบล็คมันเดย์ขึ้น โดยเริ่มจากตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันที่
19 ตุลาคม 2530 และลามไปยังตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน
ทางที่ดีขึ้นกับแนวทางการวิเคราะห์หลักทรัพย์ในประเทศไทย
มีการนำปัจจัยภายนอกประเทศ ตลอดจนปัจจัยแวดล้อม และภาพรวมของแต่ละอุตสาหกรรมเข้ามาประกอบการวิเคราะห์ในแต่ละครั้งด้วย
นอกเหนือจากการ วิเคราะห์เพียงงบการเงินของบริษัทแต่ละแห่ง เพียงอย่างเดียวเหมือนในช่วงก่อนหน้า
หลังเหตุการณ์แบล็คมันเดย์ องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนหลายแห่งที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน
ได้ให้ความสำคัญกับการให้ความรู้แก่นักลงทุน ได้มีการจัดสัมมนา และ อภิปรายในเรื่องนี้หลายครั้ง
และวิทยากรที่ไป เป็นประจำ จะประกอบด้วย ดร.สมคิด ดร.สม ชาย ดร.พิพัฒน์ รวมทั้งดร.ไพบูลย์
เสรีวิ-วัฒนา ซึ่งทั้ง 4 คน นอกจากจะเป็นนักวิชาการแล้ว ยังมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของตลาด
หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ดร.สมคิด และดร.ไพบูลย์ มาในฐานะ นักวิชาการจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร ศาสตร์
(นิด้า) ขณะที่ ดร.สมชาย และดร.พิพัฒน์เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในการบรรยาย หรือสัมมนาแต่ละครั้ง ได้มีการแบ่งหัวข้อการพูดตามความถนัดของ
แต่ละคนไว้ก่อนล่วงหน้า
ดร.สมชาย จะเป็นผู้พูดนำเป็นส่วนใหญ่ โดยจะอธิบายถึงภาพรวม ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น
ในโลก และมีผลกระทบต่อประเทศไทย
ดร.พิพัฒน์ จะพูดเจาะลึกลงไปในภาคการเงิน และการวิเคราะห์ ประเมินถึงราคาหุ้น
ที่อาจจะได้รับผลกระทบ
ดร.สมคิด จะพูดถึงการวางกลยุทธ์และการแข่งขันของแต่ละบริษัทในแต่ละอุตสาหกรรม
ขณะที่ ดร.ไพบูลย์ ซึ่งมีบุคลิกเป็นคนมีอารมณ์ขัน มักจะเป็นผู้ดำเนินรายการ
โดยมักจะนำเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น มาเล่าให้คนฟังได้ผ่อนคลาย
หลังจากฟังเรื่องหนักๆ ของวิทยากรคนอื่นมามาก
การที่ต้องตระเวนไปบรรยายให้คนฟังหลายๆ ครั้ง ทำให้สาธารณชนเริ่มคุ้นหูกับชื่อของนักวิชาการทั้ง
4 คน
แม้ว่าในบางรายการ ไม่ได้จัดในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้น แต่ก็ยังมีนักลงทุนตาม
ไปฟัง เพราะคิดว่าจะต้องมีการพูดเรื่องหุ้นสอดแทรกเข้ามาด้วย
ขณะเดียวกัน การเดินทางไปบรรยายในที่ต่างๆ ก็เป็นการปลูกฝังความสัมพันธ์ระหว่าง
ดร.สมคิด ดร.พิพัฒน์ และดร.สมชาย ที่แน่นแฟ้นอยู่แล้วให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
"เรา 3 คน แต่ละคนมันเสริมซึ่งกันและกัน ผมแมคโคร และการเงิน อาจารย์พิพัฒน์ไฟแนนซ์
อาจารย์สมคิดเรื่องกลยุทธ์ เพราะฉะนั้นก็เอามาใช้ได้ ผมแมคโครก็ปูพื้นเข้ามาสู่การ
เงิน สมคิดก็กลยุทธ์ ก็มาสอดคล้องกับแมคโคร ก็คุยกันแทบจะเรียกว่าไม่ต้องเตรียมอะไรเลย
เพราะต่างคนต่างก็มีอาชีพอยู่ตรงนี้อยู่แล้ว" ดร.สมชายเล่ากับ "ผู้จัดการ"
ดร.สมชายได้รู้จักกับ ดร.สมคิดในช่วงประมาณปี 2530 โดยการแนะนำของ ดร.พิพัฒน์
ซึ่งสอนอยู่ที่เดียวกันที่ธรรมศาสตร์ หลังจากนั้นทั้ง 3 คนก็เริ่มสนิทสนมกัน
และมีโครงการ ที่จะทำวิจัยร่วมกัน "หลังจากสนิทกันก็มาเขียนหนังสือด้วยกัน
เวลาไปพูดก็มักจะไปพูดด้วยกัน"
เส้นทางเดินของนักวิชาการทั้ง 3 คน ค่อนข้างใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะในด้านที่เกี่ยว
ข้องกับตลาดหลักทรัพย์ โดย ดร.สมชายมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของตลาดหลักทรัพย์มาตั้งแต่ยุคของสิริลักษณ์
รัตนากร เป็นกรรม การและผู้จัดการ ต่อเนื่องมาถึงยุคของ ดร. มารวย ผดุงสิทธิ์
ขณะที่ ดร.สมคิด และดร.พิพัฒน์ ได้ ตามเข้ามาเป็นที่ปรึกษาของตลาดหลักทรัพย์
ต่อมาภายหลัง โดยการชักชวนของ ศ.สังเวียน อินทรวิชัย
ศ.สังเวียนในขณะนั้น ถือว่าเป็นบุคคล ที่มีบทบาทสูงมากในตลาดหลักทรัพย์
เพราะ นอกจากจะดำรงตำแหน่งกรรมการตลาด หลักทรัพย์มาหลายสมัย ยังมีตำแหน่งเป็นประธานคณะอนุกรรมการรับหลักทรัพย์
ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการที่มีอำนาจชี้ขาดว่าบริษัทใดมีสิทธิที่จะเข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
กล่าวกันว่าสายสัมพันธ์ระหว่างดร.สมคิด กับ ศ.สังเวียน เกิดขึ้นเนื่องจากการที่
ศ.สังเวียนเป็นผู้ก่อตั้งโครงการปริญญา โททางบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยธรรม
ศาสตร์ (X-MBA) จึงได้ให้ดร.พิพัฒน์ ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่ของ ดร.สมคิดจากเคลล็อก
ไปชัก ชวนให้ ดร.สมคิด ซึ่งขณะนั้นสอนอยู่ที่คณะบริหารธุรกิจ นิด้า มาร่วมสอนในโครงการ
X-MBA ของธรรมศาสตร์ด้วย
แต่บางคนก็มองว่า ทั้ง ดร.สมคิดและ ศ.สังเวียนรู้จักกันมาก่อนหน้าแล้ว เพราะหลังจาก
ดร.สมคิดจบปริญญาตรี จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ใหม่ๆ เมื่อปี
2520 ได้เข้ามาทำงานอยู่ที่ฝ่ายวิชาการของตลาดหลักทรัพย์อยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะไปเรียนปริญญาโทต่อที่นิด้า
ซึ่งในช่วงนั้นศ.สังเวียนก็ได้เข้ามามีบทบาทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แล้ว
ภายหลังจาก ดร.สมคิดได้เข้ามาเป็น ที่ปรึกษาของตลาดหลักทรัพย์แล้ว ดูเหมือนบทบาทของ
ดร.สมคิด จะมีมากกว่า ดร.สม ชาย และดร.พิพัฒน์ เพราะ ดร.สมคิดได้รับแต่งตั้งเข้าไปเป็น
1 ในคณะอนุกรรมการรับหลักทรัพย์ ซึ่งมี ศ.สังเวียนเป็นประธาน ในขณะที่ทั้ง
ดร.พิพัฒน์และ ดร.สมชาย ยังคงบทบาทเป็นเพียงนักวิชาการ
การเข้ามามีส่วนอยู่ในคณะอนุกรรม การรับหลักทรัพย์ ทำให้ ดร.สมคิดได้มีโอกาส
สร้างสายสัมพันธ์กับนักธุรกิจอีกหลายคนในเวลาต่อมา
จากการเป็นที่ปรึกษาตลาดหลักทรัพย์ มีบทบาทในการเดินทางไปบรรยายให้ความรู้กับนักลงทุน
ในยุคที่เริ่มตื่นตัว ให้ความสนใจนำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น เส้นทาง ของดร.สมคิด
ดร.สมชาย และดร.พิพัฒน์ก็เริ่มขยายเข้าไปสู่การเป็นที่ปรึกษาตามบริษัท ต่างๆ
จนในปี 2538 ดร.พิพัฒน์เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง บทบาทการเป็นที่ปรึกษาของบริษัทจึงตกอยู่กับดร.สมคิด
และดร.สมชายเพียง 2 คน
การที่ต้องคลุกคลีอยู่กับหลายองค์ประกอบของตลาดทุน ทำให้ดร.สมคิดสามารถมองเห็นภาพความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจในช่วงกว่า
10 ปีที่ผ่านมา ได้อย่างเด่นชัด
"มันก็เหมือนกับเรามีเป้าตรงกลางคือ ตลาดหลักทรัพย์ ผมเป็นที่ปรึกษาประธาน
ตลาดหลักทรัพย์อยู่ 10 ปี อยู่ในคณะอนุ กรรมการรับหลักทรัพย์ ฉะนั้นหัวใจของ
capital market มันซึมอยู่ในสายเลือด ส่วนข้างนอกเราเห็นทุก sector ร้อยกันไปหมด"
ดร.สมคิดเล่า
ปี 2530 ดร.สมคิด ได้มีโอกาสเดินทางไปทัวร์ยุโรป ร่วมกับดร.สมชายและดร.พิพัฒน์
ซึ่งในการเดินทางเที่ยวนี้ ดร.สมคิดได้เริ่มแสดงความสนใจเกี่ยวกับเรื่องการเมืองให้เพื่อนนักวิชาการทั้ง
2 ได้เห็นเป็นครั้งแรก
ระหว่างการเดินทางโดยรถไฟไปตามประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป ดร.สมคิดได้เริ่ม
บทสนทนาเกี่ยวกับเรื่อง political marketing ออกมา เป็นการแสดงออกถึงความสนใจในเรื่องการเมือง
ซึ่งในเวลาต่อมา แนวคิดในเรื่องนี้ก็ได้ถูกถ่ายทอดออกมาในช่วงของการ ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
แต่กับเพื่อนนักวิชาการทั้ง 2 ของ ดร. สมคิด คนที่ดูจะมีความสนใจเรื่องการเมืองเช่นเดียวกันก็คือดร.สมชาย
ซึ่งทั้งคู่ก็ได้เคยพูดคุย และวางตำแหน่งของตนเองในอนาคตไว้แล้ว
ดร.สมชายวางตำแหน่งตนเองไว้ว่าจะเป็นนักวิชาการที่มีบทบาทที่ปรึกษาที่มีชื่อเสียง
อย่างเฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ปีเตอร์ ดรักเกอร์ หรือไมเคิล อี.พอร์เตอร์
"ผมมองไว้ว่าผมไม่ได้อยากเล่นการเมืองโดยตรง แต่ว่าจะออกมาเกี่ยวข้องกับการ
เมืองในลักษณะที่เป็นที่ปรึกษา มีส่วนในการวิจารณ์ โดยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
และมีชื่อเสียงเป็นคอนซัลแทนซ์" ดร.สมชายเล่า
แต่ดร.สมคิด เขาไม่คิดเช่นนั้น เพราะปัจจุบัน เขาได้โดดลงมาเล่นการเมืองโดยตรงไปเรียบร้อยแล้ว