มูดี้ส์ ปรับเครดิตให้ไทยเพิ่มพรวดเดียว 2 ขั้น เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี 5 เดือน
ให้เหตุผลหนี้ต่างประเทศลดลง ฮวบฮาบ ส่งออกฟื้น แนวโน้มเศรษฐกิจสดใส แต่ติงภาระผูกพัน-ความโปร่งใสการจัดงบประมาณน่าห่วง
ตลาดหุ้นคึกทันตาดัชนีพุ่ง กว่า 25 จุด "ทักษิณ" โวเป้าหมายเศรษฐกิจโต 8% ไม่ยากแล้ว
"สมคิด-สุชาติ" ประสานเสียงเศรษฐกิจสุดแกร่ง เพิ่มโอกาสดึงดูด นักลงทุนต่างประเทศ
นายแบงก์ระบุลดต้นทุนทางการเงิน ขณะที่ "อุ๋ย" ระบุรู้อยู่แล้วไม่อยากให้ความสำคัญ
วานนี้ (26พ.ย.) มูดี้ส์ อินเวส-เตอร์ เซอร์วิส สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลกได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศของ
ไทย คือ พันธบัตรสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของรัฐบาล และ เพดานอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรสกุลเงินต่างประเทศของ
ไทยเป็น Baa1 จาก Baa3 หรือ ปรับขึ้น 2 ขั้น, เพดานอันดับความ น่าเชื่อถือของเงินฝากธนาคารสกุลเงินต่างประเทศเป็น
Baa1 จาก Ba1 ปรับขึ้น 3 ขั้น และเพดานอันดับความน่าเชื่อถือของเงินฝากและตราสารหนี้ระยะสั้นเป็น
Prime -2 จาก Not-Prime ปรับขึ้น 2 ขั้น
นอกจากนี้ มูดี้ส์ได้ประกาศ ปรับเพิ่มอันดับตราสารหนี้ และ เงินฝากสกุลเงินต่างประเทศของธนาคาร
8 แห่งของไทย ได้แก่ ธ. กรุงเทพ, ธ.กรุงไทย, ธ.กสิกรไทย, ธ.ไทยพาณิชย์, ธ.เอเชีย,
ธ.สแตน-ดาร์ด ชาร์เตอร์ด นครธน, ธ.เพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และ ธ.อาคารสงเคราะห์
การปรับเพิ่มเครดิตดังกล่าว มูดี้ส์ ระบุว่าเป็นผลจากความแข็ง แกร่งของสถานะการชำระหนี้ต่างประเทศของไทย,
หนี้ต่างประเทศที่ลดลงอย่างมาก, ภาวะการส่งออก ที่ฟื้นตัวและแนวโน้มที่ดีที่เศรษฐกิจ
ไทยมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ
ติงภาระผูกพัน-ความโปร่งใสงบฯ
อย่างไรก็ตาม แม้มูดี้ส์จะมอง เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดี ดังกล่าว แต่ก็มีข้อสังเกตในทางลบ
โดย นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า มูดี้ส์ตั้งข้อสังเกตถึงภาระผูกพันในอนาคตว่ายังคงอยู่ในระดับสูง
แม้ภาคการคลังและหนี้สาธารณะจะปรับตัวไปในทิศทาง ที่ดีขึ้น รวมทั้งแสดงความเป็นห่วง
ถึงความโปร่งใสในการทำงบประมาณ โดยเฉพาะในธุรกรรมกึ่งการคลังที่ดำเนินงานผ่าน สถาบันการเงินของรัฐ
สำหรับความเสียหายในภาคสถาบันการเงิน มูดี้ส์ เห็นว่าความเสียหายดังกล่าวมีความชัดเจน
และสามารถบริหารจัดการได้โดยรัฐบาลจะต้องมีนโยบายด้านสถาบันการเงินและการกำกับดูแลการปล่อยสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินที่มีประสิทธิภาพ
รวมถึงการปรับโครงสร้างของภาคสถาบันการเงินและภาคธุรกิจเอกชนเพื่อสร้างการบริหารจัดการที่ดีขึ้นในอนาคต
"ระดับเครดิตของประเทศในอนาคตจะขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่มีประสิทธิภาพ
และนโยบายในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว" นางพรรณีกล่าว
ครั้งแรกในรอบ 3 ปี 5 เดือน
การปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือให้ไทยของมูดี้ส์ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในรอบ
3 ปี 5 เดือนหากนับจากครั้งล่าสุดที่สถาบันแห่งนี้เพิ่มอันดับให้ไทยเมื่อวันที่
22 มิถุนายน 2543
ก่อนหน้านั้น ในช่วงที่ไทยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ
มูดี้ส์ ได้ประกาศปรับลดความเชื่อถือไทยทั้งหมด 4 ครั้ง คือวันที่ 8 เม.ย. 2540
ลดอันดับพันธบัตร ระยะยาวเหลือ A3, วันที่ 1 ตุลาคม 2540 ลดอันดับพันธบัตรระยะยาวเหลือ
Baa1, วันที่ 27 พ.ย. 2540 ลดอันดับพันธบัตรระยะยาวเหลือ Baa 3 และ วันที่ 21 ธ.ค.
2540 ลดอันดับพันธบัตรระยะยาวเหลือ Ba1 ซึ่งเป็นระดับเก็งกำไร หรือ Speculative
Grade โดยเป็นระดับต่ำกว่า "น่าลงทุน" หรือ "Investment Grade" หลังจากที่ไทยสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจจนสามารถสร้างเสถียรภาพ
ทาง มูดี้ส์ จึงได้ประกาศเพิ่มอันดับเครดิตไทย เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2543 โดยอันดับเครดิตของประเทศเพิ่มขึ้นมาเป็น
Baa3 ซึ่งเป็น "ระดับน่าลงทุน"
ทั้งนี้ จากอันดับเครดิตของไทยครั้งล่าสุดนี้ เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศในแถบเอเชีย
พบว่า ปัจจุบัน อันดับเครดิตของไทยดีที่สุดในกลุ่มประเทศ TIP คือ ไทย, อินโดนีเซีย
และ ฟิลิปปินส์ และได้ขึ้นชั้นเทียบได้กับประเทศมาเลเซีย แต่อันดับเครดิตไทยยังต่ำกว่าฮ่องกง,
เกาหลีใต้, สิงคโปร์ และ ไต้หวัน
ปัจจุบันสถาบันจัดอันดับเครดิตที่เป็นที่ยอม รับระดับโลก มี 2 แห่ง คือ บริษัท
สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ (S&P's) และ บริษัทมูดี้ส์อินเวสเตอร์-เซอร์วิส (Moody's)
โดยจะจัดอันดับเครดิต เพื่อสะท้อนถึงความเสี่ยงในการชำระหนี้ ของพันธบัตรรัฐบาล
หุ้นกู้ และเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ จากการจัดอันดับเครดิตดังกล่าวจะมีผล ต่อต้นทุนของ
ประเทศ บริษัท และ ธนาคาร ต่างๆ ที่จะระดมทุนจากต่างประเทศ ซึ่งก่อนหน้าที่มูดี้ส์
จะปรับอันดับความน่าเชื่อถือให้ไทย สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ ได้ประกาศปรับไปแล้วเมื่อเดือนก่อน
ตลาดหุ้นคึกดัชนีฯทะยาน 25 จุด
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์ฯ แจ้งว่า ผลของการปรับเพิ่มอันดับความเชื่อถือของมูดี้ส์ทำให้บรรยากาศการซื้อขายหุ้นที่อึมครึมจากความ
กังวลมาตรการจับนักปั่นหุ้นและมาตรการควบคุม การซื้อขายแบบหักกลบลบหนี้ในหุ้นตัวเดียวกันวันเดียวกัน
(เน็ทเซตเทิลเมนต์) ของทางการมาต่อเนื่องกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยตลอดทั้งวันมีแรงซื้อเข้ามาหนาแน่นดันดัชนีราคาหุ้นเคลื่อนไหว
ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง โดยมาปิดตลาดในระดับสูงสุดของวันที่ 630.82 จุด เพิ่มขึ้น
25.79 จุด มูลค่าการซื้อขายรวม 21,709 ล้านบาท
นายวรุฒม์ ศิวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด
กล่าว ว่า ตลาดหุ้นได้ปัจจัยหนุนจากมูดี้ส์ และนักลงทุน เริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับมาตรการควบคุมการ
ซื้อขายแบบ เน็ตเซตเทิลเมนต์ หลังจากที่มาตรการ ต่างๆ เริ่มมีความชัดเจนขึ้น โดยหุ้นกลุ่มที่ปรับเพิ่มขึ้นหลักๆ
ได้แก่ แบงก์พาณิชย์ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทเงินทุน
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทย นักวิเคราะห์เชื่อว่าโอกาสที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อมีมาก
แต่อาจ มีความผันผวนบ้าง เนื่องจากนักลงทุนยังให้ความ สำคัญกับข่าวการตรวจจับพฤติกรรมการปั่นหุ้น
ดังนั้นเมื่อตลาดหลักทรัพย์หรือก.ล.ต. ประกาศรายชื่อออกมาดัชนีหุ้นไทยอาจได้รับผลกระทบบ้าง
รัฐบาลโวสะท้อนเศรษฐกิจสุดแกร่ง
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดี้ส์
ปรับความน่าเชื่อถือของไทยเพิ่มขึ้น ว่า ปีหน้าที่วางเป้าหมายว่าเศรษฐกิจจะเติบโต
8% ไม่ใช่เรื่อง ยากแล้ว ขณะที่ 6% สำหรับปีนี้ก็ไม่มีปัญหาและจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีก
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายก-รัฐมนตรี กล่าวจากกรุงโซล เกาหลีใต้ วานนี้
(26 พ.ย.) ว่า การที่มูดี้ส์เพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือให้ไทยเป็นไปตามที่คาดไว้
หลังจากบริษัทจัดอันดับ รายใหญ่อื่นๆ ของโลกทยอยปรับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยก่อนหน้านี้
ซึ่งสะท้อนว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งต่อเนื่องอย่างแท้จริงจะเป็นผลดีกับไทย
ในการเพิ่มความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างประเทศต่อประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ
ทั้งด้านตลาดทุนมากขึ้น รวมถึงบริษัทไทยที่จะระดมทุนจากนักลงทุนทั่วไป ต้นทุน การระดมทุนจะต่ำลง
ขณะที่บริษัทไทยที่กำลังปรับโครงสร้างหนี้ ก็จะทำให้ปรับโครงสร้างหนี้ได้ง่ายขึ้น
ด้วยต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ต่ำลง
ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดี
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสถาบันต่างประเทศให้ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของประเทศไทย จากดัชนีเศรษฐกิจหลายๆตัวที่ประกาศออกมาว่า
เศรษฐกิจ ของประเทศไทยมีความแข็งแกร่ง
"เราเหนื่อยมาหลายปีแล้วในช่วงที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น จึงเห็นว่าต่างชาติเริ่มเชื่อมั่นในประเทศไทย
ซึ่งเชื่อว่าหลังจากนี้การลงทุนจะได้หลั่งไหลเข้ามาในประเทศมากขึ้น การพัฒนาเศรษฐกิจจะทำได้ดีขึ้น
ซึ่งมันจะโยงกับเรื่องของตลาดหุ้นที่ปรับตัวดีขึ้น เพราะนักลงทุนทั้งต่างประเทศและในประเทศมีความมั่นใจมากขึ้น"
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าว
ด้าน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ธปท.รู้อยู่แล้วว่ามูดี้ส์จะต้องปรับอันดับความน่าเชื่อถือขึ้น
แต่ถือว่าเป็นการปรับช้ากว่าเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจของไทยที่ฟื้นตัว ดังนั้นอย่าไปสนใจมากนัก
นายแบงก์ระบุต้นทุนการเงินถูกลง
คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
(SCB)กล่าวว่า การปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ ของมูดี้ส์ ส่งผลดีต่อทุกฝ่ายทั้งตัวธนาคารไทยพาณิชย์
กลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย และ เศรษฐกิจ ไทย จะทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีความเชื่อมั่น
ในเศรษฐกิจไทยมากขึ้น
ดร.สุภัค ศิวะรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่และรักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่
ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)(TMB) กล่าวว่า จะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของ
ประเทศ รวมทั้งจะทำให้การกู้เงินสกุลต่างประเทศ ของบริษัทต่างๆ มีต้นทุนทางการเงินที่ถูกลง
ขณะที่ นายพงศธร สิริโยธิน รองกรรมการ ผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
กล่าวในทิศทางเดียวกันว่า จะส่งผลดีกับความเชื่อ มั่นของประเทศ ทำให้ประเทศไทยเป็นที่น่าสนใจและเป็นที่ยอมรับของนักลงทุนต่างประเทศมากขึ้น
โดยเฉพาะหากทางการต้องการออกพันธบัตรสกุล เงินต่างประเทศ และจะทำให้ต้นทุน ทางการเงินของประเทศในการกู้เงินนอกประเทศต่ำลง
"แม้ว่าในขณะนี้เราจะไม่จำเป็นต้องกู้เงินจาก ต่างประเทศ แต่จะช่วยให้การออกพันธบัตรรัฐบาล
หรือรัฐวิสาหกิจในสกุลเงินต่างประเทศได้รับความ สนใจจากนักลงทุนต่างประเทศมากขึ้น"
นายพงศธร กล่าว