บูทของ บล.นครหลวงไทยภายในงาน Set in the City ปีนี้คึกคักแน่นอน เมื่อธนาคารนครหลวงไทยในฐานะบริษัทแม่
ใช้โอกาสอันดีนี้ขายหุ้นเพิ่มทุนเพื่อสลัดภาพตัวเองให้หลุดจากความเป็นองค์กรของรัฐบาล
และเพิ่มความยืดหยุ่นการดำเนินงาน
14 สิงหาคม 2541 ถือเป็นวันประวัติศาสตร์และ "จุดจบ" ของอุตสาหกรรม
ธนาคารพาณิชย์ไทย เมื่อถูกรัฐบาลในขณะนั้นประกาศเข้าแทรกแซงธนาคารที่อ่อนแอจากผลพวงวิกฤติเศรษฐกิจ
และธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) ถูกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดทุนแล้วเพิ่มทุนโดยให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้ามาถือหุ้นเต็ม
100%
จากวันนั้นเป็นต้นมา ธนาคารนครหลวง ไทยอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลโดยสิ้นเชิง
และอีกประมาณ 5 ปีถัดมาได้ควบรวมกิจการกับธนาคารศรีนคร ส่งผลให้เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดสินทรัพย์มากเป็นอันดับ
6 ณ สิ้นไตรมาส 3 ปีนี้
อย่างไรก็ตาม ด้วยความเป็นธนาคารของรัฐอาจจะทำให้กระบวนการดำเนินงานถูก จำกัด
และไม่สามารถแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์เอกชนได้อย่างเต็มที่ จากเหตุผลดังกล่าวประกอบกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจส่งผลให้ธนาคารนครหลวงไทยไม่สามารถหยุดนิ่งและอยู่ในกรอบได้อีกต่อไป
โดยเป้าหมายของพวกเขาต้องการเป็น Universal Banking ด้วยการเพิ่มและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค
"หากพวกเขาให้บริการหลากหลาย จะทำให้ครอบคลุมความต้องการที่ต่อเนื่องในการทำธุรกิจอย่างครบวงจร
อาทิ บริการสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการใหม่ โครงการสินเชื่อบุคคลเพื่อการอุปโภคบริโภค"
อุษณีย์ ลิ่วรัตน์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอบีเอ็น แอมโร เอเชีย กล่าว
ความต้องการดังกล่าว ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งสำหรับการผลักดันให้เกิดการให้บริการครบวงจร
หนีไม่พ้นความคล่องตัวต่อการดำเนินธุรกิจและมีสถานะเป็นธนาคาร เอกชน ส่งผลให้ธนาคารนครหลวงไทยตัดสินใจขายหุ้นเพิ่มทุน
(PO) ซึ่งจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อในวันที่ 20,21 และ 24 พฤศจิกายนนี้
ธนาคารแห่งนี้มีแผนการที่จะนำหุ้นของ กองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ออกขายจำนวนทั้งสิ้น
370 ล้านหุ้นหรือประมาณ 17.5% ของหุ้นที่กองทุนฟื้นฟูฯ ถืออยู่ โดยการเสนอขายแบ่งเป็น
2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ประมาณ 148 ล้านหุ้น หรือ 40% ขายให้นักลงทุน สถาบัน และส่วนที่
2 ประมาณ 222 ล้านหุ้น หรือ 60% ขายให้นักลงทุนรายย่อย ซึ่งจะเสนอขายเป็นชุด ประกอบไปด้วย
1 หุ้น สามัญควบใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Covered Warrant) 2 หน่วยต่อวอร์แรนต์
สำหรับวอร์แรนต์ดังกล่าวมีอายุ 1 ปี และสามารถแปลงเป็นหุ้นสามัญได้ หากผู้ถือหุ้นใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ครบตามจำนวน
จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของกองทุนฟื้นฟูฯ ลดลงจาก 99.99% เหลือ 47.5%
สำหรับหุ้นสามัญควบใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จะออกในครั้งนี้ ธนาคารนครหลวงไทยไม่ระบุรายละเอียดแน่ชัดเกี่ยว
กับราคาใช้สิทธิแปลงสภาพ อย่างไรก็ตามธนาคารมีการกำหนดเป็นเงื่อนไขไว้เบื้องต้นว่า
ราคาใช้สิทธิจะเท่ากับราคาเสนอขายหุ้น PO บวกดอกเบี้ยเงินกู้ยืม 1 ปีของกองทุนฟื้นฟูฯ
จากการประเมินของกรองเพ็ชร จันทรมโรภาส นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีที กรณี
ราคาที่เหมาะสมของวอร์แรนต์ดังกล่าว พบว่ามูลค่าจะอยู่ระหว่าง 2.34-2.92 บาทต่อหน่วย
เมื่อราคาหุ้นแม่อยู่ในช่วง 20-25 บาทต่อหุ้น
โดยกำหนดให้ตลาดมีความผันผวน (Volatility) ที่ 30% ดังนั้นการเสนอขายหุ้นสามัญควบใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ไปอีก
2 หน่วย เพื่อเป็นทางเลือกในการเพิ่มการลงทุนของธนาคารนครหลวงในอนาคต จึงทำให้
PO มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
จากนี้ไปอีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากธนาคารนครหลวงไทยเปิดให้จองซื้อหุ้นเพิ่มทุน
ว่ากันว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญนับตั้งแต่เปิดดำเนินธุรกิจ และช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี
2540
เดิมธนาคารนครหลวงไทย มีชื่อว่า ธนาคารนครหลวงแห่งประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่
2 เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2484 จดทะเบียนด้วยเงินทุน 1 ล้านบาท และเปิดดำเนินธุรกิจการธนาคาร
ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคมปีเดียวกัน โดยสำนักงานใหญ่แห่งแรกตั้งอยู่บนถนนราชดำเนินกลาง
ธนาคารนครหลวงไทย ได้รับตราตั้งพระราชทานโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เป็นธนาคารอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์มายาวนานถึง
60 ปี รวมทั้งได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานเครื่องหมาย "พระมหามงกุฎ"
เป็นสัญลักษณ์ประจำธนาคารจนถึงปัจจุบัน
อนาคตน่าสนใจ
สิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ธนาคารนครหลวงไทยมีฐานเงินฝากประเภทออมทรัพย์เพียง
20.86% ของเงินฝากรวม ที่เหลือเป็นเงินฝากประเภทประจำ ซึ่งหากพิจารณาโครงสร้างของเงินฝากประเภทประจำแล้วพบว่าประกอบด้วยเงินฝาก
12 เดือน และ 24 เดือนถึง 58% ของเงินฝากประเภทประจำรวม
"ตัวเลขนี้เป็นปัจจัยกดดันต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายของพวกเขาค่อนข้างมาก"
อุษณีย์ บอก
โดยต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายของธนาคารนครหลวงไทยไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เท่ากับ 2.10% สูงกว่าเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่
2.09% ซึ่งธนาคารตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงแก้ปัญหาด้วยการงดรับเงินฝากประจำประเภท
12 เดือน และ 24 เดือน
"พวกเขาเน้นการรับฝากเงินประเภทออมทรัพย์ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่ามาทดแทน อีกทั้งเงินฝากประจำที่มีอยู่ในปัจจุบันจะทยอยครบกำหนดอีกราว
20% ภายในสิ้นปีนี้ และครบกำหนดทั้งจำนวนภายในปีหน้า ส่งผลให้ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายมีแนวโน้มลดลงได้อีกมาก"
ทางด้านหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) สิ้นกันยายนที่ผ่านมา มีมูลค่า 8.08
พันล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 2.65% ของสินเชื่อรวม ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์อื่นๆ
และหากไม่รวมตั๋วสัญญาใช้เงินของบรรษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรี มูลค่า 1.69 แสนล้านบาท
พบว่า NPLs ต่อสินเชื่อรวมของธนาคารนครหลวงไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 5.97% ของสินเชื่อรวม
แต่ก็อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ
"ปัจจุบันเป็นธนาคารมี NPLs ต่ำสุดในระบบ และมีฐานเงินทุนสูงซึ่งเกินกว่าเกณฑ์ของทางการถึง
773.2% โดยมีอัตราเงินกองทุนขั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์อยู่ที่ 12.72% สูงที่สุดในระบบทำให้สามารถขยายธุรกิจในเชิงรุกได้มากยิ่งขึ้น
และแข่งขันได้ทัดเทียมกับคู่แข่งขนาดใหญ่ได้" กรองเพ็ชร ให้ความเห็น
ผลประกอบการเติบโต
ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปีนี้ ธนาคารนครหลวงไทยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 898%
เป็น 727 ล้านบาท จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลรับสุทธิเพิ่มขึ้น
5% เช่นเดียวกับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่ม 298% เป็น 1,873 ล้านบาท เนื่องจากกำไรจากการขายเงินลงทุนเพิ่มขึ้น
สำหรับผลการดำเนินงานปีนี้ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ คาดว่าธนาคารนครหลวงไทยจะมีกำไรสุทธิ
2,774 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นทั้งรายได้ดอกเบี้ยรับและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย
สอดคล้องกับกรองเพ็ชร เล่าว่า เนื่อง จากธนาคารมีความพร้อมทางด้านฐานะทางการเงิน
ประกอบสภาพเศรษฐกิจเอื้ออำนวย จึงมีนโยบายมุ่งขยายสินเชื่อไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปี
ส่งผลให้ปีนี้รายได้ดอกเบี้ยรับน่าจะอยู่ระดับ 8,347 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 2,421
ล้านบาท
ด้านอุษณีย์ ประเมินว่าในอนาคตอันใกล้ธนาคารนครหลวงไทยจะมีผลการดำเนิน งานน่าประทับใจ
เนื่องจากความพยายามมุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มสูงขึ้นเพื่อเป็นฐานในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ
โดยมุ่งการทำตลาดเชิงรุกเพื่อขยายธุรกิจและบริการผ่านเครือข่ายสาขา
"รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการยังต่ำเมื่อเทียบกับรายได้รวม พวกเราจึงมองว่ายังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก"