เจตน์ เจียระพฤฒิ หรือที่รู้จักกันว่า "แจ๊กเจีย" เป็นนักธุรกิจใหญ่
ชาวแต้จิ๋ว ที่ถือสัญชาติไทย แต่พำนักอาศัย อยู่ ณ ประเทศสิงคโปร์ เป็นหลัก
ปัจจุบันแม้จะมีวัยล่วงเลย ถึง 69 ปี แต่แจ๊กเจีย ก็ยังคงบริหาร กิจการในฐานะประธานแจ๊กเจียกรุ๊ป
ที่กระจายการลงทุน ไปทั่ว 10 ประเทศ คือ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย
ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอังกฤษ
ยามเด็กแจ๊กเจีย เคยใฝ่ฝันเป็นนักดนตรี โดยเฉพาะการเล่นเปียโน แต่เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ในดินแดน ของจีนใหญ่ ก่อนจีนจะตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบคอมมิวนิสต์ แจ๊กเจียคิดเสมอว่า
จะทำตามความฝันตัวเอง หรือเดินตามความฝันของพ่อ ที่ต้องการให้เรียนด้านเคมี
ในที่สุด ความเป็นคนที่เท้าติดดิน ทำให้เค้าเลือกเรียนเคมี และสำเร็จปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์
จากมหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น ( ST.John Universtiy) ที่นครเซี่ยงไฮ้
สายเลือดความเป็นพ่อค้า ได้ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ ตระกูล แซ่เจี่ย ตกทอดถึงทายาทรุ่นที่5
ในปัจจุบัน ย้อนอดีตไปครั้งปู่ทวดของแจ๊กเจีย ก็เป็นเจ้าของโรงงานน้ำตาลที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
มณฑลกวางตุ้ง และเป็นคนจีนคนแรก ของชุมชุนนั้น ที่มีศรัทธา ต่อศาสนาคริสต์
ได้ เข้ารีด เป็นชาวสคริสต์เตียน ครอบครัวถูกต่อต้านจนต้องอพยพครอบครัวไปอยู่ซัวเถา
ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญของจีน
ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น ลูกชายของปู่ทวด ก็ไปทำกิจการโรงงาน ทำซอสปรุงรส
และเป็นพ่อค้าคนแรก ที่ท ำโรงงานผลิตอาหารกระป๋อง และเมื่อมาถึงรุ่นพ่อของแจ๊กเจีย
"เจียเม้ง"
ซึ่งมีภรรยา ชื่อ ซังโซะเช็ง ได้ขยายไปโรงงานทอฟ้า และส่งออกผ้าลินิน ผ่านจากแผ่นดินใหญ่มาขายแถบอาเซียน
ในนามของห้าง chi seng
ชีวิตวัยเด็กของแจ๊กเจีย ค่อนข้างสบาย เค้าเกิดที่ซัวเถา เมื่อวันที่ 10
กุมภาพันธ์ 2464 แจ๊กเจียมีพี่ชายชื่อ andrew เจียที่ได้พยายาม ดำเนินกิจการของพ่อ
แต่บริษัทก็ประสบความหายนะ เมื่อ่ญี่ปุ่นบุกจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อปี พ.ศ.2479
และการเมืองการปกครองจีนแผ่นดินใหญ่ ได้เปลี่ยนเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ที่ส่งผลกระทบอย่างหนัก
ต่อชนชั้นพ่อค้านายทุน และคนตระกูลเจี่ย ต้องลี้ภัย สู่ประเทศฮ่องกง และไทย
ขณะที่พี่ชายแจ๊กเจีย ต้องย้ายครอบครัว
ไ ปยังไปประเทศออสเตรเลีย ที่ซึ่งญาติพี่น้องตระกูลนี้ได้ตั้งรกรากมาเนิ่นนานเกือบกึ่งศตวรรษ
ซึ่งหลังจากที่พี่ชายได้ลี้ภัยไปออสเตรเลีย แจ๊กเจียก็หาลุ่ทางลงทุนใหม่
ๆ โดยแยกมาตั้งกิจการตัวเองที่ประเทศไทย ในปี พ.ศ.2491 แจ๊กเจียพ่อค้าหนุ่มวัย
27 ปีที่มีปริญญาตรีทางเคมี จารกมหาวิทยาลัยเซศี่ยงไฮ็ เปิดบริษัทแจ๊กเจีย
และห้างหุ้นส่วนจำกัด เจตน์ สัมฤทธ์ ที่สี่พระยา ซึ่งเป็นที่ดินที่เช่าจากตระกูล
"พรางกูร"ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่พระยา ซึ่งเป็นผู้ถือครองที่ดินบริเวณนั้น
การเช่านี้ กินระยะเวลานานถึง 42 ปี จนถึงปัจจุบัน บริษัทแจ๊กเจีย ก็ยังคงเช่าอยู่
เพราะเจ้าของไม่ต้องการขาย
ห้างหุ้นส่วนจำกัด เจตยน์ สัมฤทธ์ หรือ " CHISENG CO.ASSOCIATES"
นั้นเป็นกิจการสิ่งทอของพ่อ ที่แจ๊กเจียบริหารงานอยู่ภายใต้ชื่อเดิม ที่เป็นข้อยกเว้นหนึ่งสำหรับการดำเนินธุรกิจสไตล์แจ๊กเจีย
ที่ต้องเปลี่ยนชื่อบริษัทเดิมทุกครั้ง ที่มีการร่วมลงทุน กับแจ๊กเจีย กรุ๊ป
ห้างเจตน์สัมฤทธิ์ เป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องสำอาง สบู่หอม " จูน"
ส่วนบริษัทแจ๊กเจีย ขณะนั้น เป็นบริษัทเทรดิ้ง ผู้บุกเบิกตลาดยาต่างประเทศ
และสินค้าอุปโภคบริโภค ให้เกิดขึ้นในไทย เช่นยาของเชอริ่ง ผลิตภัณฑ์ Bristollab.
ยาแก้หวัด คลอริซีริน -ดี แลคอปเปอร์โทน ซึ่งเป็นยาทาผิวกันแดด นอกจากนี้ยังเป็นตัวแทน
ขายหมากฝรั่ง " ชีเคร็ส" ในอดีต ด้วย
ต่อมาในปี 2514 แจ๊กเจีย ก้าวสู่กิจการที่สำคัญที่ส่งเสริมให้ภาพพจน์เครือบริษัทแจ๊กเจีย
ด้วยการทำสัญญายาวนาน 20 ปี กับทาง โฮ้วป่า เป็นผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายยาหม่องตราเสือ
ซึ่งเป็นสินค้าหลักอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เกิดรายได้มาก การเป็นพ่อค้าที่ยังคงใช้ชื้อสกุลเป็นจีน
มีข้อเสียเปรียบและดำเนินกิจการนำเข้าหรือส่งออก สินค้าไปได้โดยลำบาก ดังนั้นปี
พ.ศ.2503 เปลี่ยนชื่อและนามสกุลจาก แจ๊กเชย แซ่เจี่ย หรือ แจ๊กเจีย แซ่เจี่ย
หรือ แย๊กเจีย เป็นชือไทยครั้งแรก ว่า เจตน์ สัมฤทธิ์ผล และในที่สุด แจ๊กเจีย
ก็ใช้สกุลว่า " เจตน์ เจียระพฤฒิ"
แจ๊กเจียมี ภรรยาชื่อ เจ๊กลี้ ที่ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อว่า จันทร์เพ็ญ
เจียระพฤฒิ ชื่อเล่นว่า จอย แจ๊กเจีย มีบุตรชาย-บุตรสาว 4 คน แต่ละคน ก็นับถือสัญชาตไทย
ตามแจ๊กเจีย แต่ยังใช้ชื่อังกฤษด้วย
บุตรชายคนโตขจองแจ็กเจีย คือ Donald Chia ที่เปลี่ยนชื่อเป็นไทย ว่า ดนัย
เจียระพฤฒิ ซึ่งได้ช่วยดูแลกิจการแจ๊กเจีย กรุ๊ป ที่ฮ่องกง กับน้องชายคนรอง
คือ Samuel Chia หรือชื่อไทยว่า แซม เจียระพฤฒิ ซึ่งมีอายุไล่เลี่ยกันเป็นผู้บริหารด้านโรงงานผลิตยา
แจ๊กเจียมีบุตรชายคนที่ 3 คือ Clement Chia ซึ่งได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อไทยว่า
ชาตรี เจียระพฤฒิ เมือ่ปี 2520 เป็นหัวเรียวหัวแรงสำคัญที่บริหารกิจการจากที่สิงคโปร์
และลูกสาวคนสุดท้องคือ ANNA Chia หรือนันทนา เจียระพฤฒิ ซึ่งได้สมรส กับวีระ
อรุณวัฒนาพร ซึ่งเป็นลุกชายของเพื่อนเก่าชื่อ ลิ่มจัน โด อดีต นายกสมาคมชาวจีนฮกเกี้ยน
และปัจจุบันได้เปลี่ยนนามสกุลเป็นอรุณวัฒนาพร และมีลูกสามคน
แจ๊กเจีย ดำเนินชีวิตในวัยหนุ่มด้วยการเดินทางไปทั่วภูมิภาค เอเชีย ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง
สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และออสเตรเลีย สายสัมพันธ์ทางธุรกิจระดับอินเตอร์เนชั่นแนล
ของแจ๊กเจีย ที่เติบใหญ่จากฐานธุรกิจที่สิงคโปร์ ออสเตรเลลีย ได้แผ่ขยายไปทั่วอาณาจักร
ธุรกิจของแจ๊กเจีย ได้ขยายมากที่สุดในทศวรรษปี ค.ศ.1970 จนแจ๊กเจีย ได้ฉายาว่าเป็นนักซื้อกิจการ
ในเมืองไทยชื่อเสียงแจ๊กเจีย Low profile มาก ๆ เพราะบทบาทของแจ๊กเจียในไทย
ไม่ค่อยเป็นที่รุ้จักกันมากนัก แต่เป็นที่รู้จักกันในหมู่ธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเล
ที่โยงใยสายสัมพันธ์ครั้งอดีต ปี พ.ศ 2491 จวบจนปัจุบัน
เพื่อนสนิทของแจ๊กเจีย ในไทยมีอยู่ไม่กี่คน วัน ซันวื่อ ประธานรัฐสภาคนปัจจุบัน
แจ๊กเจียถือเป็นเพื่อนเก่าเมื่อครั้งเป็นผู้บริหารกิจการสำนักงานการบัญชีสภาเหลือง
ซึ่งเป็นธุระ ให้เมือ่จัดตั้งบริษัทใหม่ และทำบัญชีงบดุลแจ๊กเจียจะร่วมรับประทานอาหารซักมือกับวันเสมอ
นอกจากนี้ แจ๊กเจียยังสนิทกับเจ้าสัว อื้อจือเหลียง อย่างมาก และเมื่อลูกชายเจ้าสัว
คือ ยอดยิ่ง เอื้อวัฒนสกุล ได้ทำหมู่บ้านจัดสรรชื่อ เอื้อสุข ขึ้น แจ๊กเจีย
ก็ได้เข้าไปซื้อที่ดินหมุ่บ้านนี้ไว้ 19 ไร่ในราคาตารางวาละ 800 บาท ซึ่ปัจจุบันราคาที่ดิน
บริเวณนี้ได้พุ่งสูงขึ้นถึงตารางวาละ 30,000 บาท
ในเมืองไทยแจ๊กเจียไม่ได้ลงทุนสะสมซื่อที่ดินแปลงใหญ่เหมือนคนอื่น และอีกสิ่งหนึ่งทีน่าสังเกตุ
คือสินค้าของแจ๊กเจียกรุ๊ป จะไม่เป็นสินค้าการเมือง จุดนี้เอง ที่ทำให้แจ๊กเจีย
เป็นนักธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเล ที่ดำเนินดำเนินธุรกิจแบบไม่อิงกับนักการเมืองในไทย
แต่ครั้งหนึ่งในยุคเริ่มต้นกิจการ พลตำรวจเอก ประมาณ อดิเรกสาร ในฐานะคนคุ้นเคยกัน
ก็เคยเป็นกรรมการบริษัท
ทุกวันนี้ แจ๊กเจีย ก็จะเก็บตัวทำงาน อยู่แต่ในประเทศสิงคโปร์เงียบ ๆ เค้าไม่ออกสังคมมากนัก
หลังจากที่ได้วางมือจากตำแหน่ง ประธานสภาองค์การนายจ้างแห่งอาเซียน ถึง 6
ปีติดต่อกัน แจ๊กเจียเป็นนักธุรกิจที่นิยมสะสมโบราณวัตถุตัวยง และไม่พยายามทำตัวเองให้เป็นคนเด่นดังในยุทธจักร
แต่ขังตัวเองอยุ่ในสินทรัพย์รวมไม่ต่ำกว่า สามหมื่น ล้านบาท.