เวลา 92 ปีในประเทศไทยของธนาคารอินโดสุเอซ นับเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากสำหรับการลงหลีกปักฐานอย่างแข็งแกร่งในประเทศไทย
แต่ในกรณีของ COMPAGNIE FINANCIEREDE SUEZ หรือกลุ่มสุเอซซึ่งเป็นบริษัทแม่ของธนาคารอินโดสุเอซนั้น
ปรากกว่าความแข็งแกร่งมั่นคงเพิ่งจะเริ่มเกิดเมื่อปลายปี 2532 นี่เอง ทั้งนี้เป็นการกล่าวโดยพิจารณามูลค่าหุ้นตามราคาตลาดของกลุ่มสุเอซ
ซึ่งพุ่งขึ้นจาก 13 พันล้านฟรังก์ในต้นปี 2531 เป็น 50 พันล้านฟรังก์เมื่อสิ้นปี
2532 และมีสินทรัพย์รวมประมาณ 70 พันล้านฟรังก์
ผู้สันทัดกรณีให้ความเห็นว่าจุดเริ่มการเติบโตของกลุ่มสุเอซเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม
2530 เมื่อรัฐบาลฝรั่งเศสตัดสินใจขายรัฐวิสาหกิจแห่งนี้เป็นบริษัทมหาชน ตอนนั้นกลุ่มสุเอซเป็นโอลดิ้ง
คอมปานีของรัฐบาลซึ่งมี่หุ้นอยู่ในวาณิชธนกิจและหุ้นเล็กๆ น้อยๆ ในอุตสาหกรรมของฝรั่งเศสอีกจำนวนหนึ่ง
จังหวะที่รัฐบาลฝรั่งเศสปล่อยหุ้นรัฐวิสาหกิจแห่งนี้ลงตลาดหลักทรัพย์ เป็นจังหวะเดียวกับที่เกิดวิกฤตในตลาดหุ้นทั่วโลก
หลายคนคงจะจำเหตุการณ์เมื่อ "จันทร์ทมิฬ" ปีนั้นได้ชัดเจนผลที่ตามมาคือ
ราคาหุ้นสุเอซดิ่งหัวปักลงอย่างที่ไม่มีใครคาดว่าจะโผล่ขึ้นมาได้อีก
ครั้นเวลาผ่านไป 2 ปี กลุ่มสุเอซกลับปรากฏชื่อเป็นโฮลดิ้ง คอมปานีที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป
ครอบครองผลประโยชน์มหาศาลในกิจการอุตสาหกรรมและอาณาจักรทางการเงิน ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวดูเหมือนจะเกิดจากความสำเร็จ
ในการซื้อกิจการขนาดใหญ่ 2 แห่งในยุโรปซึ่งมีผู้ให้ความเห็นว่าเป็นเรื่องของ"โชคที่ได้มาด้วยความบังเอิญ"
มากกว่า"การก้าวอย่างมีจังหวะ"
กิจการอันดับแรกที่หาซื้อมาได้สำเร็จคือ SOCIETE GENERALE BELGIQUE (SGB)
ซึ่งเป็นโฮลดิ้ง คอมปานีขนาดยักษ์ของเบลเยี่ยม ควบคุมอุตสาหกรรมสำคัญๆ ของประเทศไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหล็ก
สังกะสี ซีเมนต์ อสังหาริมทรัพย์ และเป็นกิจการที่มีกำไรอย่างมากๆ เพราะว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้
เติบโตขยายตัวมากในช่วงที่ผ่านมา
กลุ่มสุเอซเข้ามาเป็น"อัศวินม้าขาว" เมื่อ CARLODE BENEDETTI
นักการเงินชาวอิตาเลี่ยนประกาศ HOSTILE BID กับ SGB ตัวเดอเบเนเดตติ ก็มีหุ้นจำนวนหนึ่งในกลุ่มสุเอซ
บรรดาผู้บริหารกลุ่มสุเอซเกรงว่าเป้าหมายต่อไปที่นักซื้อกิจการายนี้สนใจ
อาจเป็นกลุ่มสุเอซขึ้นมาก็เป็นได้ หลังจากที่มีการสู้ราคากันอย่างยืดเยื้อยาวนานและเป็นข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งในทั่วโลก
กลุ่มสุเอซก็สามารถครองหุ้นได้ 50.6%ในปี 2531 คิดเป็นมูลค่า 13 พันล้านฟรังก์
ส่วนกิจการใหญ่อีกอันหนึ่งที่กลุ่มเพิ่งจะซื้อมาสดๆ ร้อนๆ เมื่อปีที่แล้วคือบริษัทประกันชื่อ
GROUPE VICTOIRE ซึ่งสุเอซก็ถือหุ้นอยู่แต่เดิมแล้ว 40% มูลเหตุการซื้อครั้งนี้มาจากการที่
VICTOIRE ต้องการขยายกิจการแบบไวๆ โดยการเข้าไปซื้อกิจการประกันภัยใหญ่อันดับ
2 ของเยอรมนีตะวันตกชื่อ COLONIA VERSICHERUNG ซึ่งต้องใช้เงินถึง 12 ล้านฟรังก์
VICTOIRE หาเงินโดยใช้วิธีขายหุ้นให้ผู้ร่วมทุนใหม่ซึ่งเป็นบริษัทอิตาลี
นั่นเท่ากับจะทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้นของสุเอซลดน้อยลง สุเอซจึงประกาศซื้อทั้ง
VICTOIRE และ COLONIA เป็นมูลค่าถึง 25.5 พันล้านฟรังก์และก็ชนะไปในที่สุด
การซื้อครั้งนี้นับเป็นราคาซื้อกิจการที่แพงที่สุดที่เคยมีขึ้นในฝรั่งเศส
แต่สุเอซก็ไม่ขาดทุนแต่อย่างใด เพราะได้มีการขายหุ้นบางส่วนในบริษัททั้งสองให้กับบริษัทประกันใหญ่ๆ
ขณะที่ยังเก็บหุ้นส่วนข้างมากเพื่อให้สามารถควบคุมการบริหารไว้ราคาที่สุเอซจ่ายไปจริงๆ
นั้นสุทธิเพียงแค่ 3.4 พันล้านฟรังก์
จะเห็นได้ว่าการซื้อกิจการทั้งสองรายการดังกล่าวเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีการวางแผนมาก่อนเลย
หลังจากที่ได้ SGB และ VICTOIRE แล้วกลุ่มสุเอซขยายเติบโตขึ้นมาก (ดูตารางการถือหุ้นของกลุ่มสุเอซ)
ทั้งในแง่ของขนาดและเครือข่ายธุรกิจ โดยมีกิจการครอบคลุมทั้งทางด้านวาณิชธนกิจและการลงทุนในอุตสาหกรรม
กิจการสำคัญของกลุ่มสุเอซคือธนาคารอินโดสุเอซ ซึ่งมีธุรกิจที่เข้มแข็งมากในย่านเอเชียและตะวันออกกลาง
แม่กลุ่มสุเอซจะถือหุ้นในธนาคาร 100% ทว่าธุรกิจธนาคารมีขนาดเล็กกว่า SGB
และธุรกิจประกันอย่างมาก ทั้งนี้จะเห็นได้ชัดว่ากิจการ SGB และ VICTOIRE
ทำกำไรให้กลุ่มสุเอซอย่างมาก โดยเมื้อสิ้นปี 2530 กลุ่มฯมีกำไรหลังหักภาษี
2.1 พันล้านฟรังก์ และเพิ่มเป็น 2.7 พันล้านฟรังก์หลังจากรวมผลกำไรของ SGB
เข้ามาเมื่อสิ้นปี 2531 ส่วนปี 2532 ซึ่งจะคำนวณเอาผลกำไรของ VICTOIRE รวมเข้ามาด้วยนั้นคาดหมายว่า
จะได้ผลกำไร 4 พันล้านฟรังก์ จากรายรับสุทธิประมาณ 85 พันล้านฟรังก์
การขยายกลุ่มเติบใหญ่ของกลุ่มสุเอซในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาทำให้เกิดความจำเป็นที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการบริหาร
บรรดาบริษัทย่อยในเครือต้องเพิ่มการติดต่อปรึกษาหารือกับสำนักงานใหญ่มากขึ้น
ฝ่ายบริหารของกลุ่มได้มีการคิดค้นแผนงานทางธุรกิจให้แก่บริษัทในเครือต่างๆ
โดยมีสมมุติฐานว่าการลงทุนแต่ละอย่างจะต้องสร้างผลตอบแทนกลับคืนมา 15 % ส่วนธุรกิจที่มีความเสียงมากก็ต้องมีผลตอบแทนกลับมามากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ว่ากันว่า บริษัทในกลุ่มสุเอซทุกแห่งต้องมีการประชุมประจำเดือนกับฝ่ายบริหารส่วนกลางที่ปารีส
เพื่อพูดคุยในเรื่องงบประมาณและความก้าวหน้าของธุรกิจ
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจข้ามชาติขนาดใหญ่ให้ความเห็นว่าถึงแม้จะมีการประชุมกันเป็นประจำ
แต่ในแง่ของการที่จะร่วมมือกันระหว่างบริษัทในเครือนั้นเป็นเรื่องที่ยังไม่ชัดเจนสักเท่าไหร่
นอกจากนี้ในส่วนของกิจการธนาคารอินโดสุเอซนั้น ปรากฏว่าความพยายามที่จะขอซื้อหุ้นเพิ่มมากขึ้นในมอร์แกนเกรนเฟลล์
ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจใหญ่แห่งหนึ่งในอังกฤษเมื่อปี 2532 แต่ไม่ประสบผลสำเร็จนั้นสะท้อนจุดอ่อนของธนาคารฯ
อย่างเห็นได้ชัด อินโดสุเอซ ขาดกลไกทางด้านวาณิชธนกิจที่เข้มแข็งในระดับระหว่างประเทศ
แม้ในส่วนของการทำ PROJECT FINANCE และ M&N ในฝรั่งเศสเองนั้นอินโดสุเอซจะคลองตลาดอยู่มากก็ตาม
เมื่อย้อนกลับมาดูในไทยปรากฏการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นในสาขาที่นี่ก็สะท้อนความเป็นไปของกลุ่มสุเอซ
ดังที่กล่าวมาแล้วอย่างชัดเจน
จักร์ทิพย์ นิติพน อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(ไอเอฟซีที) ได้รับการทาบทามให้เข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงของธนาคารอินโดสุเอซ
สาขาประเทศไทย เขาถูกส่งไปดูงานประชุมและอบรมอย่างใกล้ชิดกับสำนักงานใหญ่ที่ปารีสเป็นเวลาถึง
6 เดือน เมื่อกลับมากรุงเทพฯไม่นานนัก เขาก็ได้รับการโปรโมทขึ้นเป็นผู้จัดการใหญ่
(GENERAL MANAGER) แทนที่ผู้จัดการชาวฝรั่งเศสคนเดิม "ชองก์ มาเล่ย์"
ซึ่งถูกย้ายกลับเข้าไปประจำที่สำนักงานใหญ่ จักร์ทิพย์ เป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บริหารสูงสุดของธนาคารต่างประเทศที่มาเปิดสาขาในประเทศไทย
นักวิเคราะห์ในวงการธนาคารต่างประเทศในไทยกล่าวกับ"ผู้จัดการ"
ว่า ธนาคารต่างประเทศในไทยทุกแห่งอยากจะหาคนไทยขึ้นมาเป็นผู้จัดการกันทั้งนั้น
แต่ติดที่ว่าหาคนที่มีฝีไม้ลายมือและความเหมาะสมกับตำแหน่งยากมาก ประโยชน์ที่จะได้คนไทยมาเป็นผู้จัดการนั้นมีมากมายสุดจะพรรณนา
จักร์ทิพย์ กล่าวกับ"ผู้จัดการ"ว่าเหตุผลประการหนึ่งที่เขาก้าวมาสู่ระดับสูงก็เพราะธนาคารฯ
มีเป้าหมายที่จะรุกตลาดวาณิชธนกิจ และตัวเองเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้านนี้เป็นอย่างดีจากไอเอฟซีที
งานที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำมี 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ การนำเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ซึ่งทางอินโดสุเอซก็ได้ทำไปบ้างแล้ว คือเป็น ARRANGER ให้ SIAM FUND วงเงินประมาณ
3,800 ล้านบาท การให้ความสนับสนุนทางการเงิน 3,000 ล้านบทแก่โครงการรถลอยฟ้า
รวมถึงการค้ำประกันเงินกู้ในโครงการเดียวกันอีก 4,300 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการแนะนำตราสารทางการเงินใหม่ๆ เข่ามาใช้ในตลาดเมืองไทยและเรื่องของการสนับสนุนการลงทุนและการค้าในไทย
ซึ่งปรากฏว่ามีนักลงทุนชาวฝรั่งเศส สนใจเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นโดนเฉพาะในกิจการโรงแรม
หากพิจารณาดูการขยายตัวของกิจการธนาคารอินโดสุเอซในไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ปรากฏว่ามีการขยายในด้านของตลาดทุนมากเป็นพิเศษ คือมีการร่วมทุนกับบลง.นวธนกิจ
ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของธนาคารทหารไทยและเป็นบริษัทค้าหลักทรัพย์ที่ทำรายได้ดีเป็นระยะๆ
มีการตั้งบริษัทวิจัย ดับบลิว.ไอ.คาร์ โดยร่วมกับบริษัทแม่ในฮ่องกง เพื่อเข้ามาวิจัยตลาดหุ้นไทยและชักชวนนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
การขยายตัวใน 2 บริษัทนี้สอดคล้องไปกับการเติบโตของตลาดทุนไทย หรือหากจะมองอีกทางหนึ่ง
ก็เป็นเพียงความพยายามที่จะมีส่วนร่วมในตลาดวาณิชธนกิจด้านใดด้านหนึ่ง ก็เป็นเพียงความพยายาม
ซึ่งจริงๆ แล้วอินโดสุเอซยังไม่เคยโชว์ฟอร์มงานวาณิชธนกิจอย่างจริงๆ จังๆ
สักที
คงต้องรอดูผลงานของอินโดสุเอซในยุคผู้บริหารไทยอย่างจักรทิพย์กันต่อไป