Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2533








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2533
ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร นักกฎหมายภาษีและเทคโอเวอร์ที่ค่าตัวแพงที่สุด             
 


   
search resources

สุวรรณ วลัยเสถียร
Consultants and Professional Services




นักกฎหมายก็เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่แตกต่างไปจากแพทย์ มีแพทย์รักษาโรคทั่วไป ก็แตกแขนงออกเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หมอฟันเรียกว่าทันตแพทย์ หมอที่รักษาโรคทางใจเรียกจิตแพทย์ หรือห มอที่รับตกแต่งต่อเติมร่างกายก็เรียกศัลยแพทย์ เพียงแต่อาชีพนักกฎหมายไม่มีการเรียกกันเฉพาะเช่นนั้น

ก็เลยไม่รู้ว่านักกฎหมายหรือทนายความคนใดมีความเชี่ยวชาญทางด้านไหนจากคำนำหน้าชื่อเช่นเดียวกับแพทย์

นักกฎหมายที่ไม่ได้รับราชการเป็นอัยการหรือผู้พิพากษา มักจะถูกเรียกว่านักกฎหมายหรือทนายความรวมกันไปหมด แม้จะมีการแตกแขนงความเชี่ยวชาญออกไปเป็นจำนวนมาก บางคนเป็นทนายความที่เชี่ยวชาญเฉพาะคดีอาญา คดีล้มละลาย มรดกหรือที่ดิน ซึ่งภาระหนักไปทางด้านการขึ้นโรงขึ้นศาล เพื่อแก้ปัญหาหรือความวุ่นวาย ที่มันเกิดขึ้นแก่ลูกความแล้วหรือถ้าอุปมาอุปไมยกับหมอก็เป็นเหมือนหมอผ่าตัด

นักกฎหมายหรือทนายความบางคนก็เชี่ยวชาญด้านการวางแผนเน้นหนักไปทางด้านธุรกิจให้คำปรึกษาแก่พ่อค้าวาณิช ในข้อกฎหมายต่างๆ ทั้งเรื่องหุ้นส่วนบริษัท การอุตสาหกรรม การลงทุน และภาษีอากร

ทั้งประเภทขึ้นโรงขึ้นศาล ประเภทวางแผนหาทางป้องกันปัญหาที่มันจะเกิดขึ้นในอนาคตก็ยังแตกแขนงความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านออกไปอีกมากมาย และนับวันจะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ

อย่างเช่นปัจจุบันซึ่งเศรษฐกิจเจริญรุดหน้าขึ้นไปเช่นนี้ก็มีนักกฎหมายที่เชี่ยวชาญด้านการเทคโอเวอร์หรือการเข้าไป ควบกิจการ ซื้อกิจการต่างๆ ที่เขาดำเนินการมาก่อนแล้วซึ่งกำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายในต่างประเทศ และก็กำลังจะเริ่มต้นบูมในบ้านเรา

ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร เลือกที่จะเป็นนักกฎหมายและทนายความด้านภาษีอากรเป็นการเฉพาะมากกว่า 10 ปีแล้ว หรือนับตั้งแต่เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าฝ่ายภาษีอากรของสำนักงาน เอสจีวี ณ ถลาง เมื่อปี 2517 และก็หันมาเป็นนักกฎหมายที่เชี่ยวชาญด้านการเทคโอเวอร์อีกด้านหนึ่งเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา

ด้วยวัย 44 ปีของเขาจนถึงปีนี้ เขาเดินทางไกลมายาวนานมาพอ ดร.สุวรรณ เริ่มต้นชีวิตทนายความธุรกิจของเขาหลังจากเรียนจบนิติศาสตร์บัณฑิต(เกียรตินิยม) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี 2512 และสอบได้เนติบัณฑิตไทยในปีถัดมา แล้วเดินทางไปเรียนต่อ ในระดับปริญญาโททางด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยในระหว่างที่เรียนอยู่นั้นก็ได้เข้าเป็นทนายความฝึกหัดที่สำนักงานเฮลแอนด์ดอรร์ เมืองบอสตัน

เขาใช้เวลาเรียนระดับปริญญาโทเพียงปีเดียวก็จบแล้ว กลับเข้ามาทำงานในประเทศไทย โดยเป็นทนายความอาวุโสของบริษัทที่ปรึกษากฎหมายสากลเป็นเวลา 2 ปี

2517 เขาย้ายงานไปรับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายภาษีอากรแห่งสำนักงาน เอสจีวี ณ ถลาง ของ ยุกต์ ณ ถลาง ซึ่งจุดนี้เป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการเป็นทนายความธุรกิจที่หันมาให้ความสนใจเฉพาะด้านภาษีอากร เพราะเอสจีวี เป็นสำนักบัญชี คนที่ทำงานด้วยกันส่วนใหญ่ก็เป็นนักบัญชี แต่เขาเป็นนักกฎหมายที่ได้โอกาสเรียนรู้เรื่องบัญชีและภาษีอากรไปพร้อมกันด้วย

"บัญชีกับภาษีเป็นเรื่องที่แยกออกจากกันลำบาก เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเลข เรื่องรายรับ รายจ่าย แต่ขณะเดียวกันการปฏิบัติงานของทั้งสองอย่างนั้นจะต้องทำตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายภาษี พระราชบัญญัติ ระเบียบ คำสั่งต่างๆของทางราชการที่ควบคุมธุรกิจแต่ละประเภทอยู่" ดร.สุวรรณกล่าว

ดังนั้น การเป็นนักกฎหมายที่ได้เรียนรู้เรื่องบัญชี เพื่อภาษีอากรจึงทำให้ ดร.สุวรรณ เห็นช่องทางและการเติบโตในอาชีพ นักกฎหมายที่จะต้องเรียกความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านนี้ชัดเจนขึ้น

เพียงปีเศษต่อมา ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร จึงสอบเรียนต่อในระดับปริญญาเอก และก็เลือกเรียนกฎหมายเพื่อการบัญชีโดยเฉพาะที่มหาวิทยาลัย ยอร์จ วอชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดยที่เขาทำงานเป็นที่ปรึกษากฎหมายธนาคารโลกประจำกรุง วอชิงตัน ดีซี ในระหว่างที่เรียนต่อระดับปริญญาเอกนั้นด้วย

เมื่อจบปริญญาเอก ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ได้เข้ามารับงานที่เมืองไทยโดยเป็นรองผู้ว่าการฝ่ายบริหารการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยในปี 2522 จนถึงปี 2524 เขาจึงได้ออกมาเปิดสำนักงานเป้นของตัวเอง ชื่อว่าบริษัทที่ปรึกษาไทย

บริษัทที่ปรึกษาไทย เป็นสำนักงานกฎหมายที่รับปรึกษากฎหมายธุรกิจและก็เน้นเฉพาะด้านภาษีอากร

งานด้านภาษีซึ่งเดิมจะเข้าใช้บริการกับสำนักงานบัญชีใหญ่ๆ ไม่กี่แห่ง และนักบัญชีนั้นก็มีความคุ้นเคยใกล้กับลูกค้ากว่านักกฎหมาย ปรากฏว่าลูกค้าทั้งหลายได้ไหลเข้ามาสำนักงานกฎหมายภาษีอากรนี้ มากขึ้น นั้นกล่าวกันว่ามาจากแบบอย่างที่เห็นได้ชัดของนักกฎหมายเฉพาะด้านอย่าง ดร.สุวรรณ

ดร.สุวรรณกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่าเหตุผลหนึ่งที่เขาเลือกที่จะเป็นนักกฎหมายที่รับทำเฉพาะด้านภาษีอากรนั้นก็เพราะไม่ต้องการจะไปต่อล้อต่อเถียงกับคนอื่นๆ ที่โต้แย้งกันในโรงในศาล และอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะว่าลูกค้ามีความสุขมากกว่าที่จะจ่ายค่าทำงานหรือค่าปรึกษาในราคาแพงๆ

"ผมไม่ชอบที่จะไปโต้แย้งกับใคร ถ้าเป็นทนายในคดีอื่นจะต้องไปสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายในศาล แต่ผมกับเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากรไม่เคยโต้แย้งมากมายขนาดนั้น และทำเรื่องภาษีนี้ลูกค้าพร้อมที่จะจ่ายให้ราคาดีๆ" ดร.สุวรรณกล่าว

เขาเปรียบเทียบให้ฟังว่าถ้าเป็นคดีเช็ค 100,000 บาท เงินจำนวนนี้คือเงินของลูกความที่ถูกโกงไป มันเป็นสิทธิของเขาอย่างเต็มที่ที่จะได้คืนมา แต่ปรากฏว่าเขาต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกจำนวนหนึ่งให้แก่ทนาย และก็ไม่ทราบว่าจะได้คืนมาทั้งหมดหรือเปล่า ฉะนั้นการที่จะได้เงินคืนเต็ม 100% นั้นคงเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับด้านภาษีอากร สรรพากรประเมินว่าเขาต้องจ่ายเงิน 100,000 บาทเป็นค่าภาษี ถ้าเราสามารถช่วยเขาให้จ่ายได้น้อยลง หรือจ่ายตามที่ควรจะเป็น จะเป็นจ่ายเพียง 70,000 บาท หรือ 50,000 บาทก็แล้วแต่ ส่วนที่ลดลงนั้นคือประโยชน์ที่เขาได้รับ

และส่วนที่เขาถูกเรียกให้จ่ายนี้แล้วปรากฏว่า ไม่ต้องจ่ายนี่หมายความรวมถึงย้อนหลังไปอีก 5-10 ปีด้วย ซึ่งบางคนก็ถึงกับล้มละลายเพราะเหตุนี้ และก็รวมถึงภาษีในอนาคตที่เขาจะต้องจ่ายของจำนวนที่ลดลงนั้นด้วย ฉะนั้นเมื่อรวมกันแล้วมันเป็นจำนวนมากมาย ดร.สุวรรณ บอกว่าลูกค้ามีความสุขมากกว่าที่จะจ่ายค่าที่ปรึกษาในด้านนี้

เกือบ 10 ปีที่บริษัทที่ปรึกษาไทยตั้งขึ้นมาจนปัจจุบันงานด้านภาษีอากรล้นมือ ดร.สุวรรณ บอกกับ "ผู้จัดการ"ว่าปัจจุบันเขาหยุดรับลูกค้ารายใหม่แล้ว หรือถ้ารับเข้ามา ก็จะส่งให้สำนักงานเพื่อนๆ และน้องๆ ที่กำลังเติบโตมาติดๆ เขากล่าวว่านักกฎหมายด้านภาษีอากรยังขาดอยู่มากในบ้านเมืองไทย จึงทำให้งานเข้ามาสำนักงานเขามากมาย

ในขณะเดียวกันพัฒนาการทางธุรกิจนับวันจะเจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ มีความซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ พ่อค้าวาณิชต่างก็ให้ความสนใจว่าภาษีก็เป็นต้นทุนอย่างหนึ่งซึ่งแพงอย่างมากๆ อีกด้านหนึ่ง นอกจากต้นทุนทางด้านวัตถุดิบ แรงงาน และดอกเบี้ย

ปัจจุบัน ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ได้หันมาให้ความสนใจและรับงานด้านที่ปรึกษากฎหมายเทคโอเวอร์และบริษัทที่ สนใจจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งก็เป็นงานที่เกี่ยวเนื่องกันทั้งทางด้านภาษีอากร และการป้องกันการเทคโอเวอร์ ด้วยเช่นกัน

"ประมาณ 5 ปีมานี้ การเทคโอเวอร์ในบ้านเราเกิดขึ้นมาก และกำลังจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ในขณะที่ก่อนหน้านี้ถ้าพูดถึงการเทคโอเวอร์แล้วเป็นเรื่องน่ากลัว แต่ในต่างประเทศถือเป็นเรื่องปกติ ในส่วนของเราที่เป็นที่ปรึกษากกหมายก็ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะการรวม การควบ การซื้อขายกิจการ หรือ การร่วมกันทำกิจการบางอย่างนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่จะต้องแยกแยะออกมาเป็นประเด็นๆ ในการพิจารณา เพราะทุกอย่างเกี่ยวข้องกับ กฎหมาย สิทธิหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด และก็ ภาษี อากร" ดร.สุวรรณ กล่าวถึงงานที่กำลังบูมในปัจจุบัน

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือว่าการเทคโอเวอร์ที่ว่ายากนั้น ยังง่ายกว่าการป้องกันว่าทำอย่างไรกิจการจึงจะไม่ถูกเทคโอเวอร์จากคนอื่นโดยไม่รู้ตัว

งานให้คำปรึกษาด้านเทคโอเวอร์ที่ใช้บริการผ่านบริษัทที่ปรึกษาไทยปัจจุบันตกปีละประมาณ 20 รายและนับวันจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในด้านการขยายงานเพื่อรองรับธุรกิจด้านนี้ของเขานั้น ดร.สุวรรณกล่าวว่าเพียงพอแล้ว

เขากล่าวว่าในความหมายของรายได้ การเงิน ฐานะความเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับเขา ดร.สุวรรณ บอกว่าไม่อยากขยายงานออกไปมากมายเกินกว่าตัวเขาคนเดียวจะรับได้

ปัจจุบัน ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ทำงานคนเดียว มีผู้ช่วยเพียง 3 คนและพนักงานธุรการอีกสองสามคนในบ้านของเขาเองที่ถนนสุขุมวิทซอย 8

แต่คนในวงการต่างก็ล่ำลือกันว่า ดร.สุวรรณ เป็นที่ปรึกษากฎหมายที่เรียกค่าตัวแพงที่สุดของเมืองไทย หรือตกประมาณชั่วโมงละ 8,000 บาท แต่สำหรับเขาแล้วกล่าวว่า อาจจะแพงถ้าเทียบการคิดค่าที่ปรึกษาเทียบคนต่อคน แต่ถ้าเทียบงานต่องานอาจจะไม่แพงเลย

" ถ้าผมคิดชั่วโมงละ 8,000 บาท ผมทำงานคนเดียว 10 ชั่วโมงเสร็จก็เป็นเงิน 80,000 บาทแต่ถ้าเทียบกับคนอื่นอาจจะคิดค่าปรึกษาชั่วโมงละ 3,000 บาท แต่ต้องทำกันสามคนจึงจะเสร็จในเวลา 10 ชั่วโมงอย่างผม ก็เป็นเงินถึง 90,000 บาท หรือบางคนทำงานชั่วโมงละ 5,000บาท แต่อาจจะใช้เวลามากกว่าผมถึง 4-5 ชั่วโมง ของอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับความชำนาญ" ดร. สุวรรณพูดถึงกรณีที่มีคนพูดว่าเขาคิดค่าที่ปรึกษาแพงที่สุดในเมืองไทย

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us