นักกฎหมายก็เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่แตกต่างไปจากแพทย์ มีแพทย์รักษาโรคทั่วไป
ก็แตกแขนงออกเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หมอฟันเรียกว่าทันตแพทย์ หมอที่รักษาโรคทางใจเรียกจิตแพทย์
หรือห มอที่รับตกแต่งต่อเติมร่างกายก็เรียกศัลยแพทย์ เพียงแต่อาชีพนักกฎหมายไม่มีการเรียกกันเฉพาะเช่นนั้น
ก็เลยไม่รู้ว่านักกฎหมายหรือทนายความคนใดมีความเชี่ยวชาญทางด้านไหนจากคำนำหน้าชื่อเช่นเดียวกับแพทย์
นักกฎหมายที่ไม่ได้รับราชการเป็นอัยการหรือผู้พิพากษา มักจะถูกเรียกว่านักกฎหมายหรือทนายความรวมกันไปหมด
แม้จะมีการแตกแขนงความเชี่ยวชาญออกไปเป็นจำนวนมาก บางคนเป็นทนายความที่เชี่ยวชาญเฉพาะคดีอาญา
คดีล้มละลาย มรดกหรือที่ดิน ซึ่งภาระหนักไปทางด้านการขึ้นโรงขึ้นศาล เพื่อแก้ปัญหาหรือความวุ่นวาย
ที่มันเกิดขึ้นแก่ลูกความแล้วหรือถ้าอุปมาอุปไมยกับหมอก็เป็นเหมือนหมอผ่าตัด
นักกฎหมายหรือทนายความบางคนก็เชี่ยวชาญด้านการวางแผนเน้นหนักไปทางด้านธุรกิจให้คำปรึกษาแก่พ่อค้าวาณิช
ในข้อกฎหมายต่างๆ ทั้งเรื่องหุ้นส่วนบริษัท การอุตสาหกรรม การลงทุน และภาษีอากร
ทั้งประเภทขึ้นโรงขึ้นศาล ประเภทวางแผนหาทางป้องกันปัญหาที่มันจะเกิดขึ้นในอนาคตก็ยังแตกแขนงความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านออกไปอีกมากมาย
และนับวันจะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ
อย่างเช่นปัจจุบันซึ่งเศรษฐกิจเจริญรุดหน้าขึ้นไปเช่นนี้ก็มีนักกฎหมายที่เชี่ยวชาญด้านการเทคโอเวอร์หรือการเข้าไป
ควบกิจการ ซื้อกิจการต่างๆ ที่เขาดำเนินการมาก่อนแล้วซึ่งกำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายในต่างประเทศ
และก็กำลังจะเริ่มต้นบูมในบ้านเรา
ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร เลือกที่จะเป็นนักกฎหมายและทนายความด้านภาษีอากรเป็นการเฉพาะมากกว่า
10 ปีแล้ว หรือนับตั้งแต่เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าฝ่ายภาษีอากรของสำนักงาน
เอสจีวี ณ ถลาง เมื่อปี 2517 และก็หันมาเป็นนักกฎหมายที่เชี่ยวชาญด้านการเทคโอเวอร์อีกด้านหนึ่งเมื่อ
5 ปีที่ผ่านมา
ด้วยวัย 44 ปีของเขาจนถึงปีนี้ เขาเดินทางไกลมายาวนานมาพอ ดร.สุวรรณ เริ่มต้นชีวิตทนายความธุรกิจของเขาหลังจากเรียนจบนิติศาสตร์บัณฑิต(เกียรตินิยม)
จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี 2512 และสอบได้เนติบัณฑิตไทยในปีถัดมา แล้วเดินทางไปเรียนต่อ
ในระดับปริญญาโททางด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยในระหว่างที่เรียนอยู่นั้นก็ได้เข้าเป็นทนายความฝึกหัดที่สำนักงานเฮลแอนด์ดอรร์
เมืองบอสตัน
เขาใช้เวลาเรียนระดับปริญญาโทเพียงปีเดียวก็จบแล้ว กลับเข้ามาทำงานในประเทศไทย
โดยเป็นทนายความอาวุโสของบริษัทที่ปรึกษากฎหมายสากลเป็นเวลา 2 ปี
2517 เขาย้ายงานไปรับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายภาษีอากรแห่งสำนักงาน เอสจีวี ณ
ถลาง ของ ยุกต์ ณ ถลาง ซึ่งจุดนี้เป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการเป็นทนายความธุรกิจที่หันมาให้ความสนใจเฉพาะด้านภาษีอากร
เพราะเอสจีวี เป็นสำนักบัญชี คนที่ทำงานด้วยกันส่วนใหญ่ก็เป็นนักบัญชี แต่เขาเป็นนักกฎหมายที่ได้โอกาสเรียนรู้เรื่องบัญชีและภาษีอากรไปพร้อมกันด้วย
"บัญชีกับภาษีเป็นเรื่องที่แยกออกจากกันลำบาก เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเลข
เรื่องรายรับ รายจ่าย แต่ขณะเดียวกันการปฏิบัติงานของทั้งสองอย่างนั้นจะต้องทำตามที่กฎหมายกำหนด
ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายภาษี พระราชบัญญัติ ระเบียบ คำสั่งต่างๆของทางราชการที่ควบคุมธุรกิจแต่ละประเภทอยู่"
ดร.สุวรรณกล่าว
ดังนั้น การเป็นนักกฎหมายที่ได้เรียนรู้เรื่องบัญชี เพื่อภาษีอากรจึงทำให้
ดร.สุวรรณ เห็นช่องทางและการเติบโตในอาชีพ นักกฎหมายที่จะต้องเรียกความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านนี้ชัดเจนขึ้น
เพียงปีเศษต่อมา ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร จึงสอบเรียนต่อในระดับปริญญาเอก
และก็เลือกเรียนกฎหมายเพื่อการบัญชีโดยเฉพาะที่มหาวิทยาลัย ยอร์จ วอชิงตัน
สหรัฐอเมริกา โดยที่เขาทำงานเป็นที่ปรึกษากฎหมายธนาคารโลกประจำกรุง วอชิงตัน
ดีซี ในระหว่างที่เรียนต่อระดับปริญญาเอกนั้นด้วย
เมื่อจบปริญญาเอก ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ได้เข้ามารับงานที่เมืองไทยโดยเป็นรองผู้ว่าการฝ่ายบริหารการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยในปี
2522 จนถึงปี 2524 เขาจึงได้ออกมาเปิดสำนักงานเป้นของตัวเอง ชื่อว่าบริษัทที่ปรึกษาไทย
บริษัทที่ปรึกษาไทย เป็นสำนักงานกฎหมายที่รับปรึกษากฎหมายธุรกิจและก็เน้นเฉพาะด้านภาษีอากร
งานด้านภาษีซึ่งเดิมจะเข้าใช้บริการกับสำนักงานบัญชีใหญ่ๆ ไม่กี่แห่ง และนักบัญชีนั้นก็มีความคุ้นเคยใกล้กับลูกค้ากว่านักกฎหมาย
ปรากฏว่าลูกค้าทั้งหลายได้ไหลเข้ามาสำนักงานกฎหมายภาษีอากรนี้ มากขึ้น นั้นกล่าวกันว่ามาจากแบบอย่างที่เห็นได้ชัดของนักกฎหมายเฉพาะด้านอย่าง
ดร.สุวรรณ
ดร.สุวรรณกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่าเหตุผลหนึ่งที่เขาเลือกที่จะเป็นนักกฎหมายที่รับทำเฉพาะด้านภาษีอากรนั้นก็เพราะไม่ต้องการจะไปต่อล้อต่อเถียงกับคนอื่นๆ
ที่โต้แย้งกันในโรงในศาล และอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะว่าลูกค้ามีความสุขมากกว่าที่จะจ่ายค่าทำงานหรือค่าปรึกษาในราคาแพงๆ
"ผมไม่ชอบที่จะไปโต้แย้งกับใคร ถ้าเป็นทนายในคดีอื่นจะต้องไปสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายในศาล
แต่ผมกับเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากรไม่เคยโต้แย้งมากมายขนาดนั้น และทำเรื่องภาษีนี้ลูกค้าพร้อมที่จะจ่ายให้ราคาดีๆ"
ดร.สุวรรณกล่าว
เขาเปรียบเทียบให้ฟังว่าถ้าเป็นคดีเช็ค 100,000 บาท เงินจำนวนนี้คือเงินของลูกความที่ถูกโกงไป
มันเป็นสิทธิของเขาอย่างเต็มที่ที่จะได้คืนมา แต่ปรากฏว่าเขาต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกจำนวนหนึ่งให้แก่ทนาย
และก็ไม่ทราบว่าจะได้คืนมาทั้งหมดหรือเปล่า ฉะนั้นการที่จะได้เงินคืนเต็ม
100% นั้นคงเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับด้านภาษีอากร สรรพากรประเมินว่าเขาต้องจ่ายเงิน
100,000 บาทเป็นค่าภาษี ถ้าเราสามารถช่วยเขาให้จ่ายได้น้อยลง หรือจ่ายตามที่ควรจะเป็น
จะเป็นจ่ายเพียง 70,000 บาท หรือ 50,000 บาทก็แล้วแต่ ส่วนที่ลดลงนั้นคือประโยชน์ที่เขาได้รับ
และส่วนที่เขาถูกเรียกให้จ่ายนี้แล้วปรากฏว่า ไม่ต้องจ่ายนี่หมายความรวมถึงย้อนหลังไปอีก
5-10 ปีด้วย ซึ่งบางคนก็ถึงกับล้มละลายเพราะเหตุนี้ และก็รวมถึงภาษีในอนาคตที่เขาจะต้องจ่ายของจำนวนที่ลดลงนั้นด้วย
ฉะนั้นเมื่อรวมกันแล้วมันเป็นจำนวนมากมาย ดร.สุวรรณ บอกว่าลูกค้ามีความสุขมากกว่าที่จะจ่ายค่าที่ปรึกษาในด้านนี้
เกือบ 10 ปีที่บริษัทที่ปรึกษาไทยตั้งขึ้นมาจนปัจจุบันงานด้านภาษีอากรล้นมือ
ดร.สุวรรณ บอกกับ "ผู้จัดการ"ว่าปัจจุบันเขาหยุดรับลูกค้ารายใหม่แล้ว
หรือถ้ารับเข้ามา ก็จะส่งให้สำนักงานเพื่อนๆ และน้องๆ ที่กำลังเติบโตมาติดๆ
เขากล่าวว่านักกฎหมายด้านภาษีอากรยังขาดอยู่มากในบ้านเมืองไทย จึงทำให้งานเข้ามาสำนักงานเขามากมาย
ในขณะเดียวกันพัฒนาการทางธุรกิจนับวันจะเจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ มีความซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
พ่อค้าวาณิชต่างก็ให้ความสนใจว่าภาษีก็เป็นต้นทุนอย่างหนึ่งซึ่งแพงอย่างมากๆ
อีกด้านหนึ่ง นอกจากต้นทุนทางด้านวัตถุดิบ แรงงาน และดอกเบี้ย
ปัจจุบัน ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ได้หันมาให้ความสนใจและรับงานด้านที่ปรึกษากฎหมายเทคโอเวอร์และบริษัทที่
สนใจจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งก็เป็นงานที่เกี่ยวเนื่องกันทั้งทางด้านภาษีอากร
และการป้องกันการเทคโอเวอร์ ด้วยเช่นกัน
"ประมาณ 5 ปีมานี้ การเทคโอเวอร์ในบ้านเราเกิดขึ้นมาก และกำลังจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
ในขณะที่ก่อนหน้านี้ถ้าพูดถึงการเทคโอเวอร์แล้วเป็นเรื่องน่ากลัว แต่ในต่างประเทศถือเป็นเรื่องปกติ
ในส่วนของเราที่เป็นที่ปรึกษากกหมายก็ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ
เพราะการรวม การควบ การซื้อขายกิจการ หรือ การร่วมกันทำกิจการบางอย่างนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่จะต้องแยกแยะออกมาเป็นประเด็นๆ
ในการพิจารณา เพราะทุกอย่างเกี่ยวข้องกับ กฎหมาย สิทธิหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
และก็ ภาษี อากร" ดร.สุวรรณ กล่าวถึงงานที่กำลังบูมในปัจจุบัน
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือว่าการเทคโอเวอร์ที่ว่ายากนั้น ยังง่ายกว่าการป้องกันว่าทำอย่างไรกิจการจึงจะไม่ถูกเทคโอเวอร์จากคนอื่นโดยไม่รู้ตัว
งานให้คำปรึกษาด้านเทคโอเวอร์ที่ใช้บริการผ่านบริษัทที่ปรึกษาไทยปัจจุบันตกปีละประมาณ
20 รายและนับวันจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในด้านการขยายงานเพื่อรองรับธุรกิจด้านนี้ของเขานั้น
ดร.สุวรรณกล่าวว่าเพียงพอแล้ว
เขากล่าวว่าในความหมายของรายได้ การเงิน ฐานะความเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับเขา
ดร.สุวรรณ บอกว่าไม่อยากขยายงานออกไปมากมายเกินกว่าตัวเขาคนเดียวจะรับได้
ปัจจุบัน ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ทำงานคนเดียว มีผู้ช่วยเพียง 3 คนและพนักงานธุรการอีกสองสามคนในบ้านของเขาเองที่ถนนสุขุมวิทซอย
8
แต่คนในวงการต่างก็ล่ำลือกันว่า ดร.สุวรรณ เป็นที่ปรึกษากฎหมายที่เรียกค่าตัวแพงที่สุดของเมืองไทย
หรือตกประมาณชั่วโมงละ 8,000 บาท แต่สำหรับเขาแล้วกล่าวว่า อาจจะแพงถ้าเทียบการคิดค่าที่ปรึกษาเทียบคนต่อคน
แต่ถ้าเทียบงานต่องานอาจจะไม่แพงเลย
" ถ้าผมคิดชั่วโมงละ 8,000 บาท ผมทำงานคนเดียว 10 ชั่วโมงเสร็จก็เป็นเงิน
80,000 บาทแต่ถ้าเทียบกับคนอื่นอาจจะคิดค่าปรึกษาชั่วโมงละ 3,000 บาท แต่ต้องทำกันสามคนจึงจะเสร็จในเวลา
10 ชั่วโมงอย่างผม ก็เป็นเงินถึง 90,000 บาท หรือบางคนทำงานชั่วโมงละ 5,000บาท
แต่อาจจะใช้เวลามากกว่าผมถึง 4-5 ชั่วโมง ของอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับความชำนาญ"
ดร. สุวรรณพูดถึงกรณีที่มีคนพูดว่าเขาคิดค่าที่ปรึกษาแพงที่สุดในเมืองไทย