แบงก์ชาติ (ธปท.) ห้ามแบงก์พาณิชย์ทำธุรกรรม ซื้อขายเงินบาทในตลาดต่างประเทศ (NDF)
โดยจ่ายเฉพาะส่วนต่างเป็นดอลลาร์ หลีกเลี่ยงเกณฑ์เข้มงวดที่ควบคุมการเก็งกำไรบาทก่อนหน้านี้
หวั่นทำให้ตลาดเงินในประเทศสับสน ยกเว้นกรณียืดหนี้สัญญาเดิม หรือจำเป็นต้องยกเลิกสัญญาที่เกิดจากความผิดพลาดของลูกค้า
ขณะที่นายแบงก์เชื่อมาตรการแบงก์ชาติล่าสุด จะสกัดเงินร้อนที่ไหลเข้าไทยได้ แต่ทางการคงต้องจับตาดูต่อเนื่อง
จนกว่าบาทจะมีค่าเหมาะสม ไม่จูงใจต่อการเก็งกำไรอีกต่อไป จึงจะสกัดการเก็งกำไรค่าเงินอย่างได้ผล
นางทัศนา รัชตโพธิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยว่า ธปท. ออกหนังสือเวียนถึงธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง ลงวันที่ 7 พ.ย. แต่มีผลบังคับใช้วานนี้
(10 พ.ย.) ข้อความในหนังสือเวียนระบุว่า ธปท.ไม่สนับสนุนให้มีธุรกรรมซื้อขายแลกเปลี่ยน
เงินบาทในตลาดต่างประเทศ (NDF=Non-Deliverable Forward) เนื่องจากจะทำให้เกิดความสับสน
และขอความร่วมมือสถาบันการเงินในประเทศ ให้ระงับการทำธุรกรรม NDF เงินบาท ผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ
สกัดเลี่ยงมาตรการแบงก์ชาติ
นางทัศนา กล่าวว่า ธปท.มีข้อยกเว้นกรณีการยืดหนี้ (rollover) สัญญาเดิม หรือกรณีจำเป็นต้องยกเลิกสัญญาที่ทำไว้
(unwind) ที่เกิด จากความผิดพลาดของลูกค้าคู่สัญญา เนื่องจาก ขณะนี้ มีความพยายามหลบเลี่ยงมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของ
ธปท.ที่ออกไปแล้วก่อนหน้านี้ ด้วยการซื้อขายเงินบาทในตลาดต่างประเทศ ที่เป็นการซื้อขายเงินบาทล่วงหน้า
โดยไม่มีการส่งมอบเงินตามสัญญา แต่จะมีการจ่ายเงินเฉพาะส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อครบกำหนดอายุสัญญา
ก่อนหน้านี้ ธปท.ออกมาตรการป้องปรามเก็งกำไรค่าเงินบาท ด้วยการจำกัดการปล่อยสภาพคล่องเงินบาท
และกู้ยืมเงินบาทจากผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ (Non-resident Account) ที่ไม่มีธุรกิจการค้า
หรือการลงทุนในประเทศรอง รับ ให้อยู่ในวงเงินคงค้างสูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อบัญชี
อีกทั้งกำหนดให้สถาบันการเงินคุม บัญชีเงินบาทนอนเรสซิเด้นท์ ให้มียอดคงค้าง ณ
สิ้นวันไม่เกิน 300 ล้านบาทต่อรายเท่านั้น
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทยกล่าวว่ามาตรการ
แบงก์ชาติล่าสุด คาดว่าจะสกัดเงินร้อนที่ไหลเข้า ไทยได้ระดับหนึ่ง ประกอบกับ 2
มาตรการก่อน หน้านี้ของแบงก์ชาติ สกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท ได้ผลมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าเนื่องจากธุรกิจอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินระหว่างประเทศเคลื่อน
ไหวเร็วมาก ธปท.คงต้องจับตาดูต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้มาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทได้ผลต่อเนื่องเช่นกัน
จนกว่าค่าเงินบาทจะถึงจุดเหมาะสม ที่ไม่จูงใจต่อการเก็งกำไรอีกต่อไป จึงจะทำให้การเก็งกำไรค่าเงินหยุดได้
นายปริทรรศน์ เหลืองอุทัย ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวเป็นการขอความร่วมมือจากธนาคารพาณิชย์
โดยเฉพาะธนาคารต่างประเทศ ที่มีสาขาอยู่ในประเทศไทย ไม่ให้เข้าไปซื้อขายเงินบาทในตลาด
NDF เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบกับอัตราแลกเปลี่ยนของไทยในอนาคต
"ในระยะสั้นจะไม่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท เนื่องจากเป็นการทำธุรกรรมในต่างประเทศที่ไม่ใช้เงิน
และเมื่อธุรกรรมครบกำหนดก็จะมีการโอนเงินส่วนต่างเป็นเงินสกุลใดก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมเป็นเงินดอลลาร์
แต่ในอนาคตหากตลาด NDF เป็นตลาด ที่ใหญ่ขึ้น มีปริมาณซื้อขายมากขึ้น อาจจะเป็นตลาดที่ชี้นำอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทได้"
สำหรับตลาด NDF ที่ซื้อขายเงินสกุลดอลลาร์และบาทเพิ่มเกิดขึ้นเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
หลังจากที่ธปท.ประกาศใช้มาตรการสกัด การเก็งกำไรค่าบาท ทำให้นักเก็งกำไรหันมาตั้งตลาด
NDF เพื่อเก็งกำไร และมีแนวโน้มที่ตลาด จะขยายวงกว้างขึ้น โดยขณะนี้ปริมาณการซื้อขาย
เฉลี่ยประมาณวันละ 50 ล้านเหรียญดอลลาร์
"การซื้อขายดอลลาร์-บาท ในตลาด NDF ขณะนี้มีอายุของการทำธุรกรรมยาวไปถึง
1 ปีแล้ว โดยเฉลี่ยค่าเงินบาทที่อยู่ที่ระดับ 40.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ระยะ 3
เดือน อยุ่ที่ 40.05 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่วานนี้อัตราแลกเปลี่ยนในประเทศอยู่ที่
39.86 บาทต่อดอลลาร์"
นายปริทรรศน์ กล่าวต่อว่า ตลาด NDF มีนักเก็งกำไรมากที่สุดที่ประเทศสิงคโปร์
และฮ่องกง โดยได้รับความนิยมจากการเปิดตลาด NDF ในเงินสกุลไต้หวัน อินโดนีเซีย
ฟิลิปปินส์ และเกาหลี เนื่องจากเป็นประเทศที่อยู่ระหว่างการ ฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ
ทำให้มีความผันผวนทางอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างมาก
ด้านการเคลื่อนไหวของเงินบาทของไทยวานนี้ (10 พ.ย.) เปิดตลาดการซื้อขายที่ระดับ
39.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทรงตัวจากสัปดาห์ ที่ผ่านมา แม้ว่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าขึ้น
ผลพวงจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ประกาศดีขึ้น แต่เนื่องจากตลาดนิวยอร์กหยุดทำการซื้อขายทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน
ประกอบกับมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไร เงินบาทใช้ได้ผลดี เงินบาทซื้อขายล่าสุดที่
39.86 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินเยนญี่ปุ่น เคลื่อน ไหวที่ 109.39 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
เปโซ ฟิลิปปินส์ อยู่ที่ 55.30 เปโซ ต่อดอลลาร์สหรัฐ และ รูเปียห์ อินโดนีเซีย
ซื้อขายที่ 8,479 เปโซ ต่อดอลลาร์สหรัฐ