แพคเดลต้าเพิ่ม ทุนจาก 30 ล้านบาท เป็น 40 ล้าน บาท คาดกำหนดราคาขายได้วันที่
12 พ.ย. และเปิดจอง 17-18 เดือน เดียวกันก่อนเข้าเทรดในตลาด MAI 1 ธ.ค.นี้ โดยเงินที่ได้จะนำ
ไปใช้ซื้อเครื่องจักร ชำระหนี้และใช้เป็นทุนหมุนเวียน
นายสรสินธุ ไตรจักรภพ ประธานกรรมการ บริษัทแพคเดล ต้า จำกัด(มหาชน) (PD) กล่าวว่า
บริษัทจะทำการขายเพิ่มทุนจาก 30 ล้านบาท เป็น 40 ล้านบาท โดยการ เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชน
ทั่วไป (IPO) จำนวน 10 ล้านบาท พาร์ละ 1 บาท หรือคิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จะเสนอขาย
และจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ใหม่(MAI) ในเดือนธันวาคมนี้
โดยมีบริษัทหลักทรัพย์แอสเซท พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ขณะอยู่ในระหว่างการศึกษาถึงการกำหนดราคาขายหุ้นของบริษัท
คาดว่าจะกำหนดราคาขายได้วันที่ 12 พฤศจิกายน และเปิดให้นักลงทุนจองซื้อ 17-18 พฤศจิกายน
ก่อนจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด MAI วันที่ 1 ธันวาคมปีนี้ โดย นายธงชัย อำไพกุลวัฒนา
และกลุ่มศรีเทพไทยจะลดสัดส่วนถือหุ้นลงจาก 81% เหลือ 60.75%
สำหรับหุ้นเพิ่มทุนนั้นจะกันไว้ให้กับสถาบัน การเงิน 20-30% รวมทั้งให้กับพาร์ตเนอร์ในการทำธุรกิจคือ
MAUSER Mashchinetechink Gmbh (MAUSER) จากเยอรมัน ซึ่งเป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยีการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีชื่อเสียง
และเป็นที่ยอมรับกันกว้างขวาง ซึ่งแพคเดลต้าก็ใช้เทคโนโลยีจากบริษัทดังกล่าวด้วย
ซึ่งหุ้นส่วนนี้ กันไว้ประมาณ 2 แสนหุ้น ส่วนที่เหลือขายให้ประชาชนทั่วไป และในอนาคตหาก
MAUSER ต้องการเข้ามาถือหุ้นในแพคเดลต้า แต่ต้องดูความเหมาะสมอีกครั้ง
นายสรสินธุกล่าวต่อไปว่า เงินที่ได้จะนำไป ซื้อเครื่องจักร และอุปกรณ์ในการเพิ่มกำลังผลิต
ใช้ชำระหนี้เงินกู้คืนและเพื่อสำรองเป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งบริษัทได้ซื้อเครื่องจักรเพิ่มในการเปิดไลน์การผลิตถังพลาสติกเพิ่มขึ้น
และบริษัท ยังใช้ไลเซนส์ในการผลิตถังแต่ละประเภทจาก MAUSER ด้วย โดยมีสัญญาถึงปี
2554
ปัจจุบัน ตลาดมีความต้องการถังพลาสติก หรือบรรจุภัณฑ์ขนาดต่าง ๆ ทั้ง 200 ลิตร
120 ลิตร 20 ลิตรและ 30 ลิตร โดยถังขนาด 200 ลิตรถือเป็นสินค้าที่สร้างรายได้ให้กับแพคเดลต้า
เป็นหลัก และยังเป็นตัวที่มีมาร์จิ้นสูงสุดในบรรดา สินค้าทุกประเภท ขณะที่ถังพลาสติกขนาด
200 ลิตรประเภท L-Ring ที่ผลิตอยู่นั้นไม่มีคู่แข่งขัน ซึ่งใช้ในการบรรจุวัตถุเคมีอันตราย
ทั้งนี้ ถังพลาสติกขนาด 20 และ 30 ลิตร ตลาดมีความต้องการสูงทั้งในภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือน
เพราะสะดวกในการขนย้าย แม้ปัจจุบันจะมีผู้ผลิตมากราย แต่ด้วยคุณภาพที่ได้มาตรฐานต่างจากผู้ผลิตรายอื่น
ทำให้สินค้าของแพคเดลต้า ขายได้นำหน้าคู่แข่ง
อย่างไรก็ตาม การขยายไลน์การผลิตเพิ่มจาก 2 ไลน์การผลิตเป็น 4 ไลน์ผลิตนั้น บริษัทมุ่งที่จะผลิตถังพลาสติกขนาด
30-40 ลิตร ให้กำลังการผลิตเพิ่มจาก 9 แสนถังต่อปี เป็น 1.26 ล้านถังต่อปีในปี
2547 และเน้นให้ได้มาตรฐานขององค์การสหประชาชาติ(UN) ที่ต้องการให้การ ขนส่งสารเคมีจากประเทศหนึ่งไปยังประเทศหนึ่ง
มีการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดจากสารเคมีที่บรรจุอยู่ในถังรั่วไหลออกมา
พร้อมกับการผลิตถังขนาด 120 ลิตร แบบ Open Top เพิ่มจากเดิม
นายสรสินธุกล่าวว่า แพคเดลต้า มุ่งมั่นที่จะผลิตสินค้าที่มีมาตรฐานและสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
และการเติบโตของบริษัทจะอิง กับการซื้อขายสินค้าที่เป็นเคมีคุณภาพสูงและราคาแพงเท่านั้น
ที่สำคัญรัฐโดยกรมควบคุมมลพิษอยู่ในระหว่างการทำรายละเอียดเพื่อกำหนดเป็นข้อกฎหมายให้ผู้ประกอบการใช้ถังพลาสติกที่มีคุณภาพ
เพราะปัจจุบันมีการใช้ถังที่คุณภาพต่ำไม่ได้มาตรฐานและเพื่อให้สอดคล้อง กับมาตรฐานของ
UN ด้วย และหากมีกฎหมายนี้ออกมาจะส่งผลต่อรายได้ของบริษัทอย่างมาก
ปัจจุบัน แพคเดลต้า ส่งบรรจุภัณฑ์ให้กับลูกค้ากลุ่มประเทศเพื่อนบ้านคือ เวียดนาม
มาเลเซีย และสิงคโปร์ โดยแบ่งสัดส่วนการส่งออกและขายในประเทศ 50 ต่อ 50 และรายได้ของบริษัทในช่วง
3 ปีที่ผ่านมาพบว่า (2544-ครึ่ง แรกปี 2546) บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 79.26
ล้านบาท 71.87 ล้านบาทและ 74.75 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 21.4 ล้านบาท 57.73 ล้านบาทและ
33.77 ล้านบาท ที่ผ่านมาบริษัทจ่าย เงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นมากกว่า 80% และหลังนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
MAI แล้ว บริษัทมีนโยบายจ่ายไม่ต่ำกว่า 50% ให้กับผู้ถือหุ้น ขณะที่อัตราการเติบโตของรายได้และกำไรบริษัทยังคงเติบโตที่ระดับ
10%