ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อัดงบ 50 ล้านบาท ปรับปรุงระบบตรวจสอบซื้อขายหุ้นที่ผิดปกติ
หลังทักษิณจี้เพื่อให้ทันสถานการณ์ เผยจะประเมิน ผลซื้อขายและการกระจุกตัวราคาหุ้น
ทั้งปัจจุบันและย้อนหลังได้ทันที จากปัจจุบันต้องใช้เวลา 1 วัน คาดเริ่มใช้ธ.ค.นี้
ขุนคลังการันตีกองทุนวายุภักษ์ไม่เสี่ยง เตรียมกัน 4 หมื่นล้านบาท ไถ่ถอนพันธบัตรแบงก์พาณิชย์
ยันหุ้นไทยปัจจุบันไม่ถือว่าร้อนแรงเกินไป เพราะ พี/อียังต่ำกว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน
สั่งก.ล.ต.จับตาใกล้ชิด หากหุ้นร้อนมากขึ้น
นายวิจิตร สุพินิจ ประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่าขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์กำลังจะพัฒนาระบบตรวจสอบการซื้อขายหลักทรัพย์
เพื่อให้รวดเร็วมากขึ้น ซึ่งจะสามารถตรวจสอบได้ว่า หุ้นบริษัทใดมีราคาและมูลค่าการซื้อขายที่ผิดปกติ
รวมทั้งปรับปรุงสถานที่ฝ่ายกำกับการซื้อขาย ซึ่ง จะใช้งบประมาณปรับปรุงรวม 40-50
ล้านบาท
ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวได้รับอนุมัติจาก คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์เมื่อ
2 เดือนที่ผ่านมา โดยคาดว่าระบบใหม่จะสามารถเริ่มใช้ได้ ในเดือนธ.ค.นี้
การเร่งออกมาตรการของตลท. เกิดขึ้นหลังจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ได้สั่งการหน่วยงานตลาดทุนที่เกี่ยวข้อง รวมถึง ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ เร่งตรวจ สอบความผิดปกติการซื้อขายหุ้นผ่าน 5 โบรก-เกอร์
รวมถึง 5 หลักทรัพย์ หลังจากมูลค่าซื้อขาย ตลาดหุ้นไทยทำสถิติสูงสุดรอบ 28 ปี ที่
6.4 หมื่น ล้านบาทเมื่อวันอังคาร
"ระบบการซื้อขายที่มีการพัฒนาปรับปรุง จะดูได้ว่าหุ้นตัวใดที่มีพฤติกรรมการซื้อขายผิดปกติได้ในทันที
โดยไม่ต้องรอให้ตลาดหุ้นปิดทำ การ จากเดิมการประเมินผลของหุ้นแต่ละตัว จะต้องสรุปหลังจากปิดการซื้อขายแล้ว
ทำให้เกิด ความล่าช้าในการตรวจสอบ ดังนั้น จึงมีการพัฒนาให้ระบบเร็วขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องของระบบไอที"
นายวิจิตรกล่าว
นอกจากนี้ กรณีที่มีการเก็งกำไรในตลาดหุ้น ไทย ตลท.ได้มีการตรวจสอบโบรกเกอร์ทั้ง
5 ราย แล้ว พร้อมกับได้ขอความร่วมมือ ขอรายชื่อนักลงทุนที่ซื้อขายจำนวนมาก รวมทั้งขอความร่วมมือโบรกเกอร์ให้ติดตาม
ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลท. กล่าวว่าตลาดหลักทรัพย์ได้ปรับ
ปรุงและพัฒนาระบบกำกับการซื้อขายให้รวดเร็ว เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถให้ระบบ
และสร้าง ความเชื่อมั่นให้นักลงทุนมากขึ้น ซึ่งระบบเตือนการซื้อขายจะดีขึ้น ซับซ้อนมากขึ้น
โดยใช้เงินปรับปรุงระบบฮาร์ดแวร์ ไม่เกิน 5 ล้านบาท
"การปรับระบบจะทำให้มีการตรวจสอบข้อมูล ข่าวสาร ได้เร็วขึ้น และมีความซับซ้อนมาก
ขึ้น การเปรียบเทียบข้อมูลการเคลื่อนไหวของหุ้น จะเปรียบเทียบย้อนหลังในแต่ละวันได้
จากเดิมเปรียบเทียบแค่เพียงวันเดียว"นายกิตติรัตน์กล่าว
ยันวายุภักษ์ไร้ความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม วานนี้ (6 พ.ย.) สภาผู้แทนราษฎรได้มีการพิจารณากระทู้สดถามเรื่องการดำเนินการของกองทุนรวมวายุภักษ์
ที่นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.สิงห์บุรี พรรคประชาธิปัตย์ ถามกระทรวงการคลัง
นายชัยวุฒิกล่าวว่า กองทุนรวมวายุภักษ์ มี มูลค่ารวมแสนล้านบาท ที่เปิดให้ประชาชนจองได้ไม่เกิน
5 แสนบาทต่อคน ผลตอบแทนที่ได้ ปี ละไม่ต่ำกว่า 3% ซึ่งเขาถามว่า รัฐบาลจะค้ำประกันความเสี่ยงหรือไม่
และผลตอบแทนคงที่ หรือไม่ เพราะกำไรที่ได้มาจากกำไรจากการประกอบการของรัฐวิสาหกิจ
ร.อ.สุชาติชี้แจงว่าผู้ลงทุนกองทุนวายุภักษ์ จะไม่มีความเสี่ยงเลย เพราะการออกแบบกองทุนฯ
นี้ คุ้มครองทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย โดยเมื่อ ตั้งกองทุนฯเสร็จ กองทุนฯจะซื้อหุ้นที่กระทรวง
การคลังถืออยู่ในรัฐวิสาหกิจ และบริษัทจดทะเบียนต่างๆ โดยใช้ราคาตามมติคณะกรรมการ
"วันปิดกองทุนฯอีก 10 ปีข้างหน้า กระทรวง การคลังจะซื้อหุ้นเหล่านี้กลับ
ในราคาคงที่ ดังนั้น ผู้ที่ลงทุนตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย จะไม่มีความเสี่ยง
ยิ่งกว่านั้น จะได้ผลตอบแทนอย่างต่ำ 3% ทุกปี ซึ่งอาจจ่ายปีละ 2 ครั้ง แล้วแต่ผู้บริหาร
กองทุนฯ จะพิจารณา เพราะหุ้นที่กองทุนฯ จะถือ เป็นหุ้นที่ดีทั้งสิ้น ผลประกอบการดี
ฐานะมั่นคง และเป็นรัฐวิสาหกิจชั้น 1 ของประเทศไทยทั้งนั้น"
เขาชื่อว่าอีกประมาณ 2-3 ปี หลังจากวันที่กองทุนฯ เปิดขาย อาจโชคดีได้ผลตอบแทนถึง
6-7% ทั้งนี้ ต้องแล้วแต่ภาวการณ์ตลาดหุ้นขณะนั้นๆ
ส่วนที่มีการแสดงความเป็นห่วงว่า หากบาง ปี รัฐวิสาหกิจขาดทุน ไม่มีเงินปันผล
กองทุนฯ อาจไม่มีเงินจ่ายผลตอบแทน 3% เขายืนยันว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะจะมีเงินสำรองปีแรกๆ
เช่น เมื่อได้กำไร 5% จะจ่ายคืนผู้ถือหน่วยลงทุนแค่ 3% อีก 2% จะตั้งเป็นสำรองไว้
เพื่อกันเหตุการณ์ที่เป็นห่วงว่ารัฐวิสาหกิจกำไรน้อย
สำหรับคนที่ซื้อกองทุนฯ ไปแล้ว ต้องการจะใช้เงินสด ก็สามารถขายเป็นเงินสดได้
แต่จะขายได้เท่าไร ต้องเป็นไปตามกลไกตลาดฯ ซึ่งผู้ลงทุนจะเลือกเอง ส่วนผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุนต่อ
จะได้รับสิทธิตามเดิม เหมือนคนแรกที่ถือ ดังนั้น จึงอยากชักชวนทุกคน รวมทั้งผู้ตั้งกระทู้ถามให้รีบไปซื้อ
ร.อ.สุชาติ ยังได้ชี้แจงการดำเนินการกับเงิน 7 หมื่นล้านบาท ที่กระทรวงการคลังขายหน่วยลงทุนได้ว่าจะนำเงิน
3 หมื่นล้านบาท ลงทุนหน่วย ลงทุนต่อเนื่อง อีก 4 หมื่นล้านบาท กระทรวงการคลังมีระเบียบว่า
จะเข้าบัญชีซื้อขายหุ้นของกระทรวงฯ โดยมีอำนาจสั่งใช้ กรณีเช่น ไถ่ถอนพันธบัตรที่อยู่กับธนาคารไทยพาณิชย์
สมัย 6 ปี ก่อน ซึ่งหากไถ่ถอนจะประหยัดดอกเบี้ยได้ปีละประมาณ 5-6 พันล้านบาท ซึ่งกำลังคิดกันอยู่
แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม จะไม่มีการ นำเงินส่วนนี้ปั่นหุ้นแน่นอน
ส่วนกรณีที่มีแนวคิดจะนำเงินจากกองทุนวายุภักษ์ 4 หมื่นล้านบาทไปไถ่ถอนพันธบัตรใน
ธนาคารพาณิชย์นั้น ขณะนี้ ยังไม่ตัดสินใจชัดเจน เป็นเพียงแนวคิดเบื้องต้น โดยเห็นว่า
หากไถ่ถอนได้ จะสามารถประหยัดเงินได้หลายพันล้านบาทต่อปี หรืออาจนำเข้าบัญชีเงินคงคลัง
แต่ ยังไม่ตัดสินใจเด็ดขาด หลังจากได้รับเงินแล้ว จะเรียกระดับผู้บริหารหารือ
หุ้นยังไม่ผิดปกติ
ร.อ.สุชาติกล่าวว่า การซื้อขายร้อนแรงในตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ ไม่ถือว่าผิดปกติ
เพราะเป็นช่วงที่นักลงทุนต่างประเทศเข้ามามาก หากมองใน แง่ดี ถือว่าเป็นเรื่องดี
เท่ากับนักลงทุนเหล่านี้ มั่นใจเศรษฐกิจไทย จึงนำเงินเข้ามาลงทุน แต่รัฐบาลก็ต้องดูแลไม่ให้ร้อนแรงเกินไป
โดยคาดว่าตลาดหุ้นจะดีขึ้น จนถึงช่วงสิ้นปีนี้
"สภาพหุ้นในตลาดฯ ขณะนี้ โดยทั่วไปยังไม่ถือว่าร้อนแรงมากเกินไป เพราะราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นหรือค่าพี/อีของตลาดหลักทรัพย์ไทย
มีเพียง 11 เท่า ยังถือว่าต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และประเทศตะวันตก
ซึ่ง เขากำชับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ตลาด หลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และผู้จัดการตลาดหลัก
ทรัพย์ได้ติดตามหุ้นบางตัวที่ร้อนแรงอย่างใกล้ชิด โดยใช้มาตรการที่มีอยู่แล้วเข้าไปแก้ปัญหา"