หลังจากที่มีข่าวว่าจะตั้งสภานมมาตั้งนานแล้วแต่ก็กลายเป็นมวยล้มไป มาคราวนี้กระทรวงเกษตรฯ
ฮึดฮัดอัดฉีดเรื่องสภานมขึ้นมาปัดฝุ่นกันใหม่อีกครั้ง คราวนี้จะไปล้มหรือไปโลดกันแน่...
สภานมนั้นมีชื่อเต็มว่า “สภาส่งเสริมการผลิตนมแห่งชาติ” หรือ
“MILK BOARD”
คนไทยส่วนมากอาจจะไม่ค่อยคุ้นกับชื่อสภานมนัก แต่สำหรับเมืองนอกที่มีอุตสาหกรรมนมเป็นสินค้าหลักของประเทศแล้ว สภานมถือเป็นองค์กรหนึ่งที่มีบทบาทมาก
สภานมจะมีบทบาทหน้าที่อะไรบ้างนั้น “ผู้จัดการ” ได้รับคำอธิบายจากนักวิชาการท่านหนึ่งในวงการนมว่า
“สภานมนั้นเขาจะรู้ดีว่าดีมานด์ของประเทศมีเท่าไหร่ ซัปพลายมีเท่าไหร่ จะต้องเอานมเนยเข้ามาเท่าไหร่
จะเข้ามาในรูปไหนบ้าง จะเข้ามาอย่างไร เป็นผู้กำหนดควบคุมการนำเข้าส่งออกจะอยู่ในระบบเดียวกัน
และจะส่งเสริมอย่างไรต่อไป จะออกกฎระเบียบอย่างไรมาคุมเรื่องเกี่ยวกับการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมโดยเฉพาะ ตั้งแต่เกษตรกรจนถึงการขายครบวงจร”
เรียกว่าอะไรที่เกี่ยวกับนม (โค) นั้นจะต้องขึ้นอยู่กับสภานมทั้งหมด
ประเทศไทยเริ่มคิดจัดตั้งสภานมครั้งแรกเมื่อปี 2513 เนื่องจากในตอนนั้นเกิดวิกฤตการณ์นมเหลืออย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก เพราะโรงงานแปรรูปนมของเอกชนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับซื้อนมดิบจากเกษตรกร แต่เนื่องจากรัฐขาดอำนาจทางกฎหมายที่จะไปบังคับให้โรงงานแปรรูปนมเหล่านี้ซื้อนมดิบ
จึงได้แต่ขอความร่วมมือ แต่ก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร
บทเรียนในครั้งนี้ทำให้นักวิชาการในวงการนมทั้งหลายเสนอให้จัดตั้งสภานมขึ้นเหมือนต่างประเทศ
เพื่อปรับปรุงโครงสร้างและประสานงานในการดำเนินการเลี้ยงโคนม การผลิต การแปรรูป
และการจำหน่ายน้ำนมดิบ และผลิตภัณฑ์รวมอยู่ภายใต้องค์กรเดียวกัน ซึ่งจะง่ายต่อการกำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติให้สอดคล้อง รวมทั้งเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคต
แต่เรื่องการจัดตั้งสภานมในครั้งนั้นก็ไม่ประสบผลสำเร็จ ด้วยเหตุผลอะไรไม่เป็นที่เปิดเผย
แล้วเรื่องก็เลยเงียบหายไปในที่สุด
จนมาถึงวิกฤตการณ์นมล้นตลาดอีกครั้งเมื่อปี 2528 กระทรวงเกษตรฯ ก็เลยเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติจัดตั้งสภานมขึ้นอีกครั้ง
ในครั้งนี้ก็สัมฤทธิ์ผลขึ้นมาขั้นหนึ่งแล้ว โดยรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ มีคำสั่งเมื่อวันที่
2 ธันวาคม 2528 ให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อเตรียมการจัดตั้งสภานมขึ้นคณะหนึ่ง
ซึ่งมีตัวแทนจากภาคเอกชนและภาครัฐบาลร่วมกัน คือ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ เป็นประธานปลัดกระทรวงเกษตรฯ เป็นรองประธาน
และมีคณะกรรมการจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมส่งเสริมสหกรณ์
องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ สหกรณ์โคนม สมาคมหรือชมรมผู้เลี้ยงโคนม
โรงงานผลิตภัณฑ์นมเอกชน ฯลฯ
เรียกว่าเป็นการชุมนุมคนในวงการนมทุกแขนงเลย
คนในวงการนมส่วนมากเห็นด้วยและสนับสนุนให้มีการตั้งสภานม แต่ก็กลัวว่าอาจจะไม่สำเร็จ
เพราะปัญหาจากเรื่อง “อำนาจ” นั่นเอง
“อำนาจทางกฎหมายมันแตกออกไปอยู่หลายกระทรวง การที่จะไปดึงให้มารวมอยู่จุดเดียวกันมันมีปัญหามากเพราะของเดิมเขามีอยู่แล้ว อย่างเช่น กระทรวงอุตสาหกรรมมีอำนาจให้ตั้งโรงงานได้ แล้วถ้าต่อไปนี้สภานมจะเป็นผู้อนุมัติเอง หรือกระทรวงการคลังมีหน้าที่จัดเก็บภาษี ถ้าสภานมบอกให้ยกเว้นภาษีเครื่องจักร กระทรวงการคลังจะยอมหรือเพราะจะทำให้เสียรายได้ของรัฐไป”
แหล่งข่าวคนหนึ่งวิจารณ์
นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานอีกมากมายที่เกี่ยวข้อง เช่น
กระทรวงเกษตรมีอำนาจในการส่งเสริมการเลี้ยงโคนม
อสค. มีอำนาจหน้าที่ในการรับผิดชอบเรื่องการซื้อนมดิบ
บีโอไอมีอำนาจให้การส่งเสริมอุตสาหกรรม
กระทรวงพาณิชย์มีอำนาจควบคุมราคา การส่งออกผลิตภัณฑ์นม
เมื่ออำนาจกระจัดกระจายอยู่เช่นนี้การเล่นทีมเวิร์กก็เห็นจะค่อนข้างจะยาก
คงจะขึ้นอยู่กับความจริงใจของแต่ละหน่วยงานว่าจะยอมสละอำนาจของตัวเองและให้ความร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหาที่มีอยู่ได้มากน้อยเพียงใด
หลังจากการประชุมเพื่อเตรียมงานจัดตั้งสภานมในครั้งนี้แล้ว ยังต้องใช้เวลาอีกนานเพราะคงจะต้องผ่านขั้นตอนอีกมาก
จนด่านสุดท้ายก็ต้องผ่านเข้าสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนจะออกมาเป็นกฎหมาย
กว่าสภานมจะคลอดออกมาก็คงต้องลุ้นกันเหนื่อยเลย