Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2529








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2529
“ลูกหนี้ยอดแย่ในรอบทศวรรษ” เสียงบ่นจากคนแบงก์             
 


   
search resources

ฟินิคซ พัลพ แอนด์ เพเพอร์, บมจ.
Pulp and Paper




ถ้าหากจะมีการจัดอันดับลูกหนี้เลวเด่นหรือลูกหนี้ยอดแย่แห่งปีเหมือนกับการจัดบุคคลแห่งปีที่กำลังฮิตกันอยู่เวลานี้ บริษัทฟินิคซ พัลพ์ แอนด์ เพเพอร์ จำกัด ก็คงต้องคว้ารางวัลติดต่อกันหลายปี จนนับได้ว่าน่าจะเป็น “ลูกหนี้ยอดแย่ในรอบทศวรรษ” ทีเดียว

นี่ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินเลยความจริง เพราะผู้ที่พูดประโยคนี้คือผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งในวงการธนาคารพาณิชย์ของไทย ที่ระบายความอึดอัดใจที่มีกับโครงการนี้ให้ “ผู้จัดการ” ฟัง

“ความจริงโครงการนี้มันไม่น่าเกิดขึ้นหรอก เพราะในสายตาของแบงก์นั้นมันมีหลายเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ตั้งแต่แรก และมีอีกหลายเรื่องที่เรามารู้ทีหลังว่ามันไม่เป็นจริงตามที่เขาสตัดดี้เอาไว้..โอเค ถ้าดูตามสตัดดี้ในตอนนั้นละก้อดูดีไปหมดทีเดียว” คนแบงก์คนเดิมว่า

เริ่มแรกก็ตั้งแต่เรื่องวัตถุดิบซึ่งตอนที่นายกเกรียงศักดิ์หนุนให้บุญชู โรจนเสถียร กรรมการผู้จัดการใหญ่แบงก์กรุงเทพ และประธานสมาคมธนาคารไทยในขณะเดียวกันมาชักชวนให้สมาชิกทั้ง 16 แบงก์ช่วยกันค้ำประกันหนี้โครงการนี้เพื่อให้โครงการเดินไปได้เสียที (ปี 2521) นั้น ทุกคนรู้ว่าเป็นโรงงานแรกของโลกที่จะผลิตเยื่อกระดาษจากปอแม้ว่าจะมีผลการศึกษาความเป็นไปได้มาดีแค่ไหน ในสายตาแบงก์ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจอยู่ดี!

ปัญหาต่อมาก็คือเรื่องผลผลิตปอก็ไม่แน่ใจว่าจะมีพอหรือไม่? รวมทั้งราคาปอจะเคลื่อนไหวขึ้นลงแค่ไหน? ความสามารถของฝ่ายจัดการในการประสานงานและร่วมมือกับชาวไร่ก็ยังมองไม่เห็น! ต่อมาก็เรื่องตลาด ผลิตเยื่อกระดาษจากปอขึ้นมาแล้วจะขายได้หรือเปล่า? ไม่มีใครบอกได้ มีแต่ตัวเลขชวนฝันว่าจะขายได้เท่านั้นเท่านี้พร้อมประเมินความต้องการเยื่อกระดาษในประเทศเอาไว้เสียสูงลิ่วกว่าที่เป็นจริง ซึ่งแน่นอนประเด็นที่เกี่ยวโยงกับเรื่องราคาขายเป็นสำคัญ

อีกปัญหาที่สำคัญก็คือด้านการจัดสรรเงินทุน ซึ่งตอนเริ่มต้นนั้นมีทุนแค่ 400 ล้านบาท ในขณะที่โครงการต้องใช้เงินถึง 2 พันล้านบาท ทั้งๆ ที่โครงการอุตสาหกรรมขนาดนี้แบงก์จะให้กู้ได้ไม่เกิน 2 เท่าของเงินทุนเท่านั้นถ้าหากจะให้ได้ตามโครงการก็ต้องมีทุนมากกว่านี้

แม้ว่ากลุ่มแบงก์จะมองเห็นปัญหาชัดเจนอย่างนี้พร้อมๆ กับมีบางแบงก์หันไปสนับสนุนอย่างแจ้งชัดในการตั้งโรงงานผลิตเยื่อกระดาษจากไม้ไผ่ของกลุ่มศรีเฟื่องฟุ้ง-บูรณศิริ-เตชะไพบูลย์ ซึ่งมีธนาคารศรีนครดันหลังอยู่และเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กัน ด้วยเหตุผลว่าโครงการของกลุ่มหลังนี้มีความเป็นไปได้มากกว่า

“แต่คุณสมศักดิ์ก็ฉลาดพอที่จะเข้าหาผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์ ให้ช่วยผลักดันโครงการแทนพร้อมๆ กับหาช่องทางเข้ามาเป็นเลขาธิการสมาคมเยื่อและกระดาษ ซึ่งเป็นที่รวมของบรรดาพ่อค้ากระดาษและโรงงานกระดาษทั้งหมดซึ่งทำให้ภาพพจน์ของตัวคุณสมศักดิ์และโครงการฟินิคซฯ เองมีน้ำหนักมากขึ้น” พ่อค้ากระดาษคนหนึ่งเล่าเหตุการณ์ช่วงนั้นให้ฟัง

ซึ่งท่านนายกเกรียงศักดิ์เองก็กำลังมองหาโครงการขนาดใหญ่ที่จะช่วยเหลือชาวไร่ชาวนาได้มากๆ อยู่แล้วอาจจะเพราะหวังผลทางการเมืองด้วย เมื่อไปเปรียบกับโครงการผลิตเยื่อกระดาษจากไผ่ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ดูจะหาง่ายกว่าปอและเกี่ยวข้องกับชาวบ้านน้อยกว่าปอ นายกเกรียงศักดิ์ก็เลยเปิดไฟเขียวให้ฟินิคซฯ เต็มที่

“เมื่อเป็นอย่างนั้นโครงการของกลุ่มแบงก์ศรีนครก็ต้องพับเก็บไว้ก่อน เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างโรงงานเยื่อกระดาษขึ้นมาพร้อมกันทีเดียว 2 โรง ก็สร้างความผิดหวังให้กลุ่มศรีนครไม่น้อยเหมือนกัน” คนแบงก์คนเดิมกล่าว

และเมื่อแบงก์ไทยการันตีหนี้ต่างประเทศจำนวน 940 ล้านบาทให้โครงการนี้ก็เริ่มลงหลักปักฐานได้จริงๆ จนถึงเดือนเมษายน 2525 ก็เริ่มผลิตเยื่อกระดาษจากปอได้

นับแต่นั้นปัญหาต่างๆ ก็เริ่มโหมกระหน่ำฟินิคซฯ ระลอกแล้วระลอกเล่าทันที

เริ่มด้วยความบกพร่องของเครื่องจักรที่ผลิตได้เพียง 55% ทำให้ผลผลิตน้อย แต่ต้นทุนคงที่ทุกอย่างเดินหน้าการจัดซื้อปอก็มีการโกงกินกันอย่างมโหฬาร เพียงแต่เดินเครื่องไปได้เพียง 5 เดือนคือถึง 30 ก.ย. 25 อันเป็นรอบระยะบัญชีของฟินิคซฯ ก็โชว์ตัวแดงเกิดขึ้นแล้ว 225.918 ล้านบาท

จะด้วยเหตุผลใดก็ตามแม้ว่าหุ้นส่วนใหญ่คือบัลลาเปอร์ อินดัสตรี และ VOEST ALPINE จะรับประกันและแก้ไขทุกอย่างให้ได้เต็มประสิทธิภาพตามสัญญาโดยไม่คิดมูลค่าก็ตาม แต่นี่ก็เท่ากับทำให้ฟินิคซฯ เสีย TIMING ที่ดีในการทำธุรกิจและผลประโยชน์ที่เสียไปเป็นเงินอีกหลายร้อยล้านบาททีเดียว

แต่ไม่มีฝ่ายจัดการคนไหน เรียกค่าเสียหายในเรื่องนี้กับบริษัททั้ง 2 ซึ่งอีกสถานะหนึ่งก็คือหุ้นส่วนใหญ่ของฟินิคซฯ นั้นเอง

นี่เป็นจุดอ่อนอันแรกที่แบงก์คอมเมนต์ไว้และก็เป็นจริง แต่แบงก์ก็ยังใจอ่อนเพราะเห็นแก่หน้าว่าเป็นโครงการแห่งชาติ (ตามที่ผู้โปรโมตโครงการพยายามผลักดันมาแต่ต้น)

ต่อไปก็ผลผลิตปอซึ่งมันก็เป็นลูกโซ่นั่นเอง เมื่อฝ่ายจัดการไร้ฝีมือที่จะจัดสรรเงินหมุนเวียนในการซื้อปอ เกิดการโกงน้ำหนัก ชักหัวคิว ก็รับซื้อปอได้เพียงปีแรกเท่านั้น พอถึงหน้าปอปี 25 ซึ่งโรงงานจำเป็นต้องใช้ปอจำนวนมาก แต่ฟินิคซฯ ก็ขาดเงินสดหมุนเวียนเสียแล้วถึงขนาดต้องประกาศทางวิทยุให้ชาวไร่นำตั๋วมารับเงินกันเป็นงวดๆ ได้บ้างไม่ได้บ้างไปตามเรื่อง

เมื่อเครดิตเสีย ปีต่อไปชาวไร่ก็ไม่ปลูกปอส่งให้โรงงานอีก จะมีก็เพียงส่วนน้อย จนกระทั่งโรงงานต้องดิ้นรนมาหาทางออกเอาเองที่ไม้ไผ่

จนเดี๋ยวนี้ฟินิคซฯ กลายเป็นโรงงานผลิตเยื่อกระดาษจากไม้ไผ่ไปเสียแล้ว!!

ถัดจากเรื่องวัตถุดิบก็มาถึงเรื่องตลาด สมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์ ยืนยันว่าโครงการนี้ตอนแรกแจ๋วมากเพราะราคาเยื่อกระดาษตอนเริ่มโครงการ 650 เหรียญ/ตัน แต่น้ำมัน 12 เหรียญ/บาร์เรล พอเริ่มสร้างโรงงานไปได้แค่ 18 เดือน ราคาเยื่อเหลือ 280 เหรียญ/ตัน แต่น้ำมันขึ้นไป 30 เหรียญ/บาร์เรล

“แล้วคุณลองคิดดูซิ จะให้ฝ่ายจัดการเก่งยังไง มันก็ต้องขาดทุนกันอย่างมโหฬารจนได้” สมบูรณ์ว่า

แต่ในความเป็นจริงนั้นกลายเป็นว่าเรามองตลาดผิวเผินเกินไป เพราะเมืองไทยไม่เคยซื้อเยื่อกระดาษในลักษณะสัญญาระยะยาวเลยซึ่งจะกำหนดราคาคงที่ตลอดอายุสัญญา แต่กลับซื้ออยู่ในสปอร์ตมาร์เก็ตเท่านั้น ซึ่งตลาดบ้านเราก็แป็นเพียง DUMANG MARKET หรือตลาดสำหรับระบายสินค้าส่วนเกินเท่านั้น ราคาที่เห็นถูกเป็นพิเศษจึงเป็นราคาชั่วคราว

แต่นี่คือสิ่งที่ผู้วิเคราะห์โครงการต้องเจาะให้ถึงว่าผู้ใช้เมืองไทยนั้นต้องการของราคาถูกเป็นเกณฑ์ และไม่ได้สนใจคุณภาพเท่าใดนัก?

นอกจากนี้กระดาษยังเป็นสินค้าที่ถูกรัฐบาลคุมราคาอยู่ด้วย การขึ้นราคาที่แท้จริงจึงทำไม่ได้ตาม MARKET FORCE

จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่เรามักได้ยินข่าวกระดาษขาดแคลนตอนหน้าร้อน แต่ไปหลบอยู่หลังร้านในราคาที่แพงขึ้นอย่างที่ผู้ซื้อไม่มีทางต่อรอง...แถมต้องเงินสดด้วยนะ

นี่คืออีกจุดที่ฟินิคซฯ พลาด

เรื่องสุดท้ายที่บรรดาแบงก์เจ้าหนี้ทั้งหลายระอากันมาก และก็เป็นตัวแปรสำคัญมากๆ ก็คือความประพฤติของฝ่ายจัดการโครงการนี่เอง ซึ่งพูดได้ว่ามีส่วนอย่างมากในการทำให้อาการของฟินิคซฯ เข้าขั้นโคม่าอย่างนี้

“โครงการใหญ่อย่างนี้ฝ่ายจัดการจะต้องมีความรับผิดชอบเต็มที่เมื่อเกิดความสูญเสียขึ้นมา แต่นี่เขามีข้ออ้างอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ดินฟ้าอากาศไล่ดะไปเลย จะแก้ปัญหาแต่ละเรื่องต้องเอาเงินแบงก์ให้ได้ แต่เงินทุนที่จะลงมาเพิ่มไม่มี กว่าจะเพิ่มทุนได้แต่ละคราว เรื่องมากกันจริงๆ โอ้เอ้อยู่นั่นแหละเรื่องที่ควรจะทำเสร็จและแก้ไขตั้งแต่ปี 26 ก็เลยต้องยืดเยื้อมาถึงเดี๋ยวนี้ไง” ผู้ใหญ่ในวงการแบงก์บ่นอย่างเอือมระอาเต็มที

“คุณเป็นผู้ลงทุน ถ้าคุณกำไรคุณก็ได้ผลประโยชน์ไปเต็มที่ คุณแบ่งกำไรให้แบงก์หรือเปล่า แต่พอคุณมีปัญหา จะเรียกร้องให้แบงก์ช่วยฝ่ายเดียวได้ยังไง แล้วแบงก์น่ะเขาก็หากินด้วยดอกเบี้ยเท่านั้นเอง ถ้าคุณไม่ส่งทั้งต้นทั้งดอกมาตั้ง 3 ปีแล้วอย่างนี้ แบงก์ก็ทนไปได้อีกไม่นานหรอก”

ว่ากันว่าที่ฟินิคซฯ เบี้ยวไม่จ่ายทั้งต้นทั้งดอกในวงเงินหมุนเวียนที่กู้จากสมาคมธนาคารมา 300 ล้านบาทนั้น ก็เป็นการกระทำทดแทนกับที่บางธนาคารคือแบงก์กรุงไทยกับแบงก์กรุงเทพฯ พาณิชยการไม่ยอมส่งเงินไปช่วย รวมทั้งบางแบงก์ที่ส่งให้แต่ก็ไม่เต็มตามโควตาในส่วนของตัว

แต่คนที่เจ็บตัวจริงๆ ก็คือแบงก์กรุงเทพกับแหลมทองที่แบกหนี้อยู่คนละ 112.5 ล้านและ 37.5 ล้านบาท ซึ่งรวมกันครึ่งหนึ่งของยอดหนี้ 300 ล้านบาท โดยยังไม่รวมยอดวงเงินค้ำประกันหนี้ของโครงการนี้อีกต่างหาก

ส่วนแบงก์ต่างประเทศที่เข้ามาร่วมรับชะตากรรมอันนี้ก็มีอีกประมาณไม่ต่ำกว่า 24 แบงก์ทั้งในออสเตรีย อินเดีย ฮ่องกง และสิงคโปร์

โดยเฉพาะ 2 กลุ่มหลังนี้จะรับบทหนักมากกว่า 2 กลุ่มแรก และหนึ่งในนั้นที่กำลังปวดหัวอยู่เพราะถลำตัวเข้าไปไม่น้อยในฐานะที่มีสาขาอยู่ในเมืองไทย ก็ยูโรเปียน เอเชียน แบงก์ ว่ากันว่า ผู้ใหญ่ที่นั่นกำลังหาทาง WRITE OFF ลูกหนี้รายนี้อยู่เสียด้วย

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us