วีซ่าเตรียมเดินเครื่องลุยตลาดเอเชีย-แปซิฟิกเต็มที่ ชี้มองเห็นช่องทางขยายตลาด
3 ประเทศยักษ์ใหญ่ จีน-ญี่ปุ่น-อินเดีย เปลี่ยนรูปแบบบัตรเดบิตใหม่เพิ่มโลโก้วีซ่า
เผยความเสี่ยงจากก่อการร้าย และซาร์สที่อาจกลับมา ส่วนไทยวีซ่ามียอดโตที่สุดถึง
45% เร่งกระตุ้นให้บัตรเดบิตมียอดเท่าเครดิตใน 3 ปี ส่วนเซทเทเล็มชี้ยังมีช่องว่างตลาดบัตร
เครดิตอีกส่งสบายการ์ดแบ่งเค้กตลาด คาดปีหน้ายอดถึง 3 แสนใบแน่
มร.รูเพิร์ต จี คีลีย์ ประธานบริหาร วีซ่า เอเชีย-แปซิฟิก เปิดเผยกับ "ผู้จัดการรายวัน"
ว่า ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตสูงมาก ทางวีซ่าจึงให้ความ
สำคัญในการขยายธุรกิจในภูมิภาคนี้มาก เมื่อดูจากยอดตัวเลขการใช้จ่ายผ่านบัตรวีซ่าทั่วโลกมีปริมาณ
1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ โดยที่เอเชีย-แปซิฟิก มีการใช้จ่ายถึง 2.54 แสนล้านเหรียญ
สหรัฐ หรือ 15% ของยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรทั่วโลก
การใช้จ่ายผ่านบัตรเติบโตเพิ่มขึ้นทุกไตรมาสซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ภูมิภาคนี้มีอัตราการใช้จ่ายผ่านบัตรขยายตัวถึง
7 เท่า โดยเฉพาะประเทศจีน อินเดีย และญี่ปุ่น ที่มีปริมาณประชากรรวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของ
โลกและมีการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่สูงถึง 70% ของภูมิภาค แต่ปริมาณการใช้บัตรเครดิตยังน้อยมาก
ทั้งนี้เนื่องจากจุดรับชำระบัตรยังมีน้อย ประชาชนยังนิยมจับจ่ายใช้สอยโดยเงินสด
รูปแบบของบัตรเดบิตใหม่จะไม่มีการปั๊มตัวนูนเหมือนบัตรแบบเก่า และเพิ่มสัญลักษณ์รูปธงของวีซ่าเข้า
ไปทำให้ผู้ที่ถือบัตรจดจำสัญลักษณ์ มีความเชื่อมั่นว่าสามารถใช้บัตรเดบิตของวีซ่ากับร้านค้าทั่วไปที่รับบัตรเครดิต
อยู่แล้ว อีกทั้งยังทำให้ผู้ถือบัตรมีความมั่นใจที่จะใช้บัตรในการรูดซื้อสินค้ามากขึ้นกว่าเดิมที่ผู้ถือบัตรนิยมใช้เพียง
แค่กดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มเท่านั้น
มร.รูเพิร์ต กล่าวถึงการจัดการด้านความเสี่ยงและปัจจัยในการดำเนินธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกว่า
ยังต้องเฝ้าระวังปัจจัยทางด้านการเมืองของคาบสมุทรเกาหลี เรื่องการก่อการร้ายและโรคซาร์สที่อาจจะกลับมาอีก
เพราะหากเกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจบัตรเครดิตโดยรวมได้ ในแต่ละประเทศที่วีซ่าเข้าไปดำเนินธุรกิจ
จะออกผลิตภัณฑ์ที่มีความรับผิดชอบ และพัฒนาตลาดบัตรเครดิตให้มีการแข่งขันกันอย่างเสรีภายใต้ความยุติธรรม
ส่วนธุรกิจบัตรเครดิตในประเทศ ไทยนั้นในปีนี้ถือว่ามีการเติบโตสูงที่สุด ในภูมิภาคเอเชีย
ซึ่งเป็นผลมาจากการ ที่เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น โดยมียอดสินเชื่อเฉพาะที่ผ่านบัตรเครดิตของวีซ่าสูงถึง
1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ โตขึ้นจากปีที่แล้วถึง 45% แต่ปริมาณสินเชื่อที่ไม่อยู่ในระบบยังมีเหลืออีกสูง
อัตราดอกเบี้ยก็แพงกว่ามาก ดังนั้นวีซ่าจึงร่วมมือกับธนาคารที่เป็นสมาชิก เพื่อดึงผู้บริโภคที่ยังอยู่นอกระบบเข้ามาเป็นลูกค้าของบัตรเครดิตในระบบมากขึ้น
ประธานบริหารวีซ่า เอเชีย-แปซิฟิก กล่าวว่า ยอดบัตรเครดิตและเดบิตของวีซ่าในประเทศไทยสิ้นสุดเมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้มียอดบัตรเครดิต
3.07 ล้านใบ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 43% ยอดบัตรเดบิตจำนวน 5.4 ล้านใบ แต่ปริมาณการใช้จ่ายถึง
99% มาจากบัตรเครดิต ทางบริษัทจึงต้องหาวิธีกระตุ้นให้ลูกค้าที่ถือบัตรเดบิตให้ใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น
และเพิ่มเติมด้านการตลาดบัตรเดบิตในรูปแบบใหม่ให้มีการใช้จ่ายเท่ากับบัตรเครดิตภายใน
2-3 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ การที่จะเพิ่มปริมาณการใช้จ่ายให้ได้ตามที่ต้องการนั้น บริษัทก็ได้เตรียมขยายจุดรับชำระให้มีปริมาณมากขึ้น โดยในปัจจุบันมีจุดรับชำระค่าบริการผ่านบัตรเครดิตจำนวน 1.5 แสนร้านทั่วประเทศ
7 หมื่นแห่งเป็นร้านค้าที่มีเครื่องรูดบัตรแบบใหม่ที่เรียกว่าเครื่อง EDC (Electronic
Data Capture) ที่สามารถรับบัตรเดบิตได้ด้วย
นายเปโดร โรดิเกซ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซทเทเล็ม (ประเทศไทย) จำกัด
เปิดเผยว่า ช่องทางในการขยายธุรกิจของบริษัทในประเทศไทยยังมีอัตราการเติบโตที่สูงอยู่มาก
เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาบริษัทได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่เรียกว่า สบายการ์ด ที่นับว่าประสบความสำเร็จมาก บัตรนี้เป็นบัตรที่เน้นความปลอดภัยในการใช้บัตรของลูกค้าผู้ถือบัตรและคู่ค้ารูปแบบการใช้งานของบัตรแตกต่างกับคู่แข่งเน้นลูกค้าเฉพาะกลุ่ม
ผ่อนชำระ 5% ของวงเงินในบัตรไม่ใช่ของยอดวงเงินที่ใช้ทำให้ลูกค้าสามารถ ควบคุมงบประมาณของตนเองได้ง่ายขึ้น
ป้องกันไม่ให้ลูกค้ามีหนี้สินเกินตัว
บริษัทตั้งเป้ายอดบัตรสิ้นปีนี้ 5 หมื่นใบ สิ้นปีหน้า 3 แสนใบ โดยมียอดใช้จ่ายผ่านบัตร
10,000 บาทต่อบัตร บัตรมีการเคลื่อนไหว 100% เพราะเป็นบัตรเครดิตประเภทกึ่งผ่อน
ชำระจึงทำให้บัตรทุกใบของบริษัทมีการใช้จ่าย