SCC ออกหุ้นกู้ 1.2 หมื่นล้าน เพื่อนำเงินไปรีไฟแนนซ์หนี้เก่าที่จะครบดีลในปีหน้า
หวังภาระจ่ายดอกเบี้ยลดลง1พันล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3 พุ่ง 32% อานิสงส์จากยอดขายที่สูงขึ้นและดอกเบี้ยจ่ายลดลง
ปีหน้าปิโตรเคมียังโตเพราะตลาดจีนยังต้องการอีกมาก
นายชุมพล ณ ลำเลียง กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)
(SCC) เปิดเผยผลการ ดำเนินงานไตรมาส 3 ปีนี้ว่าบริษัทมียอด ขาย 36,029 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 6% เทียบ กับงวดเดียวกันของที่ผ่านมา ซึ่งมียอดขายจำนวน 33,996 ล้านบาท
ในไตรมาส 3 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนรายการพิเศษ 4,194 ล้านบาท
มีกำไรสุทธิ 4,864 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 32% ในขณะที่
EBITDA เท่ากับ 8,942 ล้านบาท เพิ่ม ขึ้น 7% กำไรจากการดำเนินงานก่อนรายการพิเศษ
เท่ากับ 4,194 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% และมีกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น32% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
เนื่องจากได้รับกำไรจากการขายที่ดิน และสินทรัพย์อื่นๆ 670 ล้านบาท
เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ยอดขายสุทธิใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน ในขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนรายการพิเศษเพิ่มขึ้น
20% และกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 36% โดยส่วนใหญ่เป็นผลเนื่องมาจาก Margin ที่เพิ่มสูงขึ้นของผลิตภัณฑ์ในธุรกิจปิโตรเคมี
ทั้งนี้ ไตรมาสที่ 3 ปี 2546 เครือฯ มีส่วนได้เสียในกำไรของบริษัทร่วม เท่ากับ
1,490 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เมื่อ เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น
8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
โดยรายได้มาจากบริษัทร่วมในธุรกิจปิโตรเคมี เท่ากับ 934 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจ
SM MMA และ PTA ซึ่งโดยรวมแล้วเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
และเพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
จากบริษัทร่วมอื่นๆ เท่ากับ 556 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์ และธุรกิจ
เหล็ก ในส่วนนี้รวมแล้วลดลง 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และลดลง 21%
เมื่อ เทียบกับไตรมาสก่อน
ขณะที่ในไตรมาส 3 ธุรกิจเยื่อกระดาษและบรรจุภัณฑ์มียอดขายรวมเพิ่มขึ้นสูงสุดคือ
12% ผลจากราคากระดาษและบรรจุภัณฑ์สูงขึ้น และยังรับรู้รายได้จาก United Pulp and
Paper Co., (UPPC) ที่ฟิลิปปินส์
โดยในไตรมาส 4 ปีนี้ SCC ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้น 10% เทียบกับช่วงที่ผ่านมา
บริษัทฯ มียอดขายรวมอยู่ที่ 120,000 ล้านบาท เนื่องจาก บริษัทจะเน้นจำหน่ายธุรกิจกระดาษและบรรจุ-ภัณฑ์
รวมถึงธุรกิจปูนซีเมนต์ให้มากขึ้นกว่าช่วง ไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เพราะปริมาณความต้องการ
ของลูกค้าสูงมากขึ้น เพราะเมื่อเทียบไตรมาส 3 และไตรมาส 2 ปีนี้พบว่า ธุรกิจปิโตรเคมีปรับตัวดีขึ้น
และไตรมาส 4 ก็ยังโตต่อ ซึ่งตลาดจีนยังต้องการปิโตรเคมีอีกมาก ขณะที่ผู้ผลิตมีกำลัง
ผลิตน้อย การขยายตัวของผู้ผลิตจึงยังมีโอกาสอีกมาก
จากการที่ธุรกิจกระดาษและบรรจุภัณฑ์มีการปรับตัวที่สูงขึ้นในช่วงไตรมาส 3เนื่องจากปริมาณยอดการสั่งซื้อจากต่างประเทศมีอัตราที่สูงขึ้น
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ติดต่อที่จะส่งสินค้ากระดาษและบรรจุภัณฑ์ไปยังประเทศอินโดนีเซีย
ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเจรจา ซึ่งคาดว่าจะผลักดันรายได้รวมของบริษัทฯ ให้มีอัตราที่สูงขึ้น
นายชุมพลกล่าวว่า การปรับโครงสร้างองค์กรและปรับหนี้แต่ละแห่งต้องใช้เวลา และต้องรอให้บริษัทนั้น
ๆ ปรับโครงสร้างเสร็จสิ้นก่อน ขณะนี้จึงยังมีรายละเอียดในการเข้าไปลงทุน แต่ ยอมรับว่ามีการทาบทามจากบริษัทในต่างประเทศ
แต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ก่อนหน้านี้นายชุมพลเคย กล่าวไว้ว่า การลงทุนแบบเข้าไปซื้อกิจการที่มีเครื่องจักรและอุปกรณ์อยู่แล้ว
จะสร้างรายได้ให้เกิดเร็วกว่าการที่จะต้องเริ่มต้นนับหนึ่ง ดังนั้น การลงทุนของ
SCC ในยุคนี้จึงเน้นเข้าไปร่วมทุนหรือซื้อกิจการเดิมที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจของSCC
ที่ดำเนินการอยู่
ส่วนธุรกิจซีเมนต์ในขณะนี้ บริษัทฯ เน้นขายในประเทศมากกว่าส่งออกไปยังต่างประเทศ
เพราะอัตราความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในภาคอสังหาฯ ที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตขึ้นในช่วงไตรมาส
4 การส่งออกปูนซีเมนต์คงน้อยกว่าปี'45 ถึงกว่าประมาณ 10% เพราะจากปี'45 ที่ส่งออกอยู่ประมาณ
7 ล้านตัน คาดว่าปีนี้จะลดลงมาที่ 1 ล้านตัน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้น
นายชุมพล กล่าวต่อว่า สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2547 คาดว่าจะเกิดฟองสบู่
ขึ้นได้ เนื่องจากเรามองว่า อัตราการสร้างบ้านระดับบนที่มีราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป
จะค่อนข้าง สูงเมื่อเทียบกับรายได้ของผู้บริโภคส่วนใหญ่มีน้อยกว่าจำนวนบ้านที่สร้างขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีนโยบายการจ่ายปันผลในปี'47 อยู่ที่ระดับ 35-45% ของกำไรสุทธิ
ออกหุ้นกู้ 1.2 หมื่นล้านรีไฟแนนซ์หนี้เก่า
นายกานต์ ตระกูลฮุน ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ SCC กล่าวว่า ปัจจุบัน SCC มีหนี้กู้ทั้งสิ้น
1.228 แสนล้านบาท ลดลงจากเมื่อสิ้นปี 2545 ที่มีอยู่ 1.263 ล้านบาท โดยเป็นหนี้หุ้นกู้กว่า
8 หมื่นล้านบาท และหนี้ที่กู้จากสถาบันการเงินที่มีอยู่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยสิ้นปีนี้ผู้บริหารยืนยันว่าจะลดหนี้ให้เหลือต่ำกว่า
1.2 แสนล้านบาทให้ได้ เพื่อที่จะทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายในปีหน้าลดลง 1 พันล้านบาท
"เราอยากเห็นหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ให้ ลดต่ำลงเหลือ 3.5 เท่า ภายในปีหน้า และเราเชื่อว่า
เราจะทำได้ ปีที่แล้วเราลดลงจากก่อนหน้านั้นที่มีอยู่ 8-9 เท่า เหลือเพียง 4.2
เท่า และหลังจากที่เราลดตัวนี้ได้ จะส่งผลให้ลดภาระดอกเบี้ยของ เราได้"
สำหรับหุ้นกู้ของ SCC ปีหน้าจะครบดีลทั้งสิ้น 2.5 หมื่นล้านบาท ดอกเบี้ยโดยเฉลี่ย
6.9% ซึ่งบริษัทต้องออกหุ้นกู้ล็อตใหม่ออกมาเพื่อรีไฟแนนซ์หนี้เก่า เพราะเงินที่ใช้ในการลงทุนของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาคือการออกหุ้นกู้เป็นส่วนใหญ่
และเงินสดจากการดำเนินงาน
โดยหุ้นกู้ที่จะครบดีลคือเมษายนปีหน้า 2 ชุดคือ จำนวน 5.2 พันล้านบาท ดอกเบี้ย
3.5% และจำนวน 8,800 ล้านบาท ดอกเบี้ย 10.5% และ ครบดีล ตุลาคม จำนวน 5,000 ล้านบาท
ดอกเบี้ย 5.5% ครบดีลพฤศจิกายน 6,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 8.75%
ดังนั้น SCC จึงต้องออกหุ้นกู้ล็อตใหม่เพื่อนำมารีไฟแนนซ์หนี้เก่า คาดว่าจะออกอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า
1.2 หมื่นล้านบาท