หากกล่าวว่า พาหนะที่คล่องตัวที่สุดของกรุงเทพฯ คือ มอเตอร์ไซค์แล้ว ก็ต้องกล่าวเช่นกันว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมาพาหนะที่คล่องตัวและอยู่คู่กับคนปักกิ่งก็คือ
จักรยานสองล้อ กับบันไดถีบสองข้างนี่แล และไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นภาพท้องถนนของกรุงปักกิ่งแล้วก็คงไม่ปฏิเสธว่า
ที่นี่คือ "นครหลวงของจักรยาน" อย่างแท้จริง
ไม่เพียงแค่ปักกิ่ง แต่สำหรับคนจีนทั้งประเทศ ตั้งแต่จักรยานเป็นพาหนะหลัก
และปัจจัยสำคัญของการใช้ชีวิตในเมืองจีน โดยเฉพาะยุคก่อนที่จีนจะเปิดประเทศ
เครื่องชี้วัดความสำเร็จของครอบครัวคนจีนนั้นเรียกกันติดปากว่า "Big
Four"
"Big Four" คือ เครื่องใช้ 4 อย่างที่ประกอบด้วย นาฬิกา จักรเย็บผ้า
วิทยุ และรถจักรยาน โดย ณ ช่วงที่จีนยังอยู่หลังม่านไม้ไผ่ ครอบครัวใดที่มีจักรยานมากกว่าหนึ่งคันก็นับได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะพอตัว
อย่างไรก็ตาม ภาพและค่านิยมดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ปัจจุบันจักรยานแม้จะยังเป็นพาหนะหลักของคนจีนอยู่
โดยในปักกิ่งหากเทียบจำนวนประชากรต่อจำนวนจักรยานแล้วเกือบจะอยู่ที่ 1 ต่อ
1 เลยทีเดียว (สิ้นปี 2001 เมืองปักกิ่งมีประชากรราว 13 ล้านคน มีจำนวนจักรยานราว
10.2 ล้านคัน) แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บทบาทของพาหนะ 4 ล้อ ที่เรียกว่า
รถยนต์ ต่อคนจีนกลับพุ่งขึ้นสูงอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อราวครึ่งศตวรรษก่อน หลังพรรคคอมมิวนิสต์ประกาศชัยชนะเข้าปกครองประเทศจีนได้สำเร็จ
โรงงานรถยนต์แห่งแรกของจีนก็ถูกตั้งขึ้นที่ ฉางชุน ในมณฑลจี๋หลิน เพื่อผลิตรถยนต์ภายใต้ชื่อ
"ธงแดง (หงฉี :
)" โดยมีจุดประสงค์หลักคือการนำมาใช้ในงานของภาครัฐ
การผูกขาดของ "ธงแดง" ดำเนินไปยาวนานถึง 3 ทศวรรษ จนกระทั่ง
เติ้งเสี่ยวผิง ประธานาธิบดีผู้บุกเบิกนโยบายการเปิดประเทศของจีนเล็งเห็นว่า
การดันทุรังและถือตัวในความสามารถของตนเอง รังแต่จะทำให้ประเทศจีนถอยหลังเข้าคลอง
เพราะเทคโนโลยีในการผลิตรถยนต์ของจีนในขณะนั้น แวดวงรถยนต์โลกถือว่าเป็นของโบราณ
ขณะนั้นรัฐบาลจีนจึงมีนโยบายเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์แห่งชาติ โดยเปิดโอกาสให้บริษัทต่างชาติสามารถเข้ามาร่วมทุนกับรัฐบาลจีนในลักษณะของบริษัทร่วมทุน
(Joint Venture)
ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่ เติ้งเสี่ยวผิง ประกาศนโยบายการเปิดประเทศจีนสู่ภายนอก
ในปี ค.ศ.1978 บริษัทสัญชาติเยอรมันคือโฟล์คสวาเกน (Volkswagen) ก็รีบตะครุบโอกาสนี้ไว้โดยเข้ามาเจรจา
กับรัฐบาลจีน เพราะโฟล์ครู้ดีว่า การที่บริษัทของตนจะสามารถต่อกรกับคู่แข่งจากประเทศผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก
อย่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นได้นั้นจำเป็นที่จะต้องยึดครองตลาดที่มีศักยภาพสูงให้ได้เสียก่อน
ทั้งนี้จากการวิ่งทั้งบนดินและใต้ดิน ในที่สุดโฟล์คก็ประสบความสำเร็จ
เนื่องจากรัฐบาลจีนปัดข้อเสนอจากสหรัฐฯ และญี่ปุ่น และเลือกโฟล์คเข้ามาร่วมทุน
ดังนั้นจึงนับได้ว่าโฟล์คเป็นบริษัทต่างชาติรายแรกที่เปิดประเดิมรุกเข้ามาในตลาดรถยนต์ของจีน
ในปี ค.ศ.1985 บริษัทร่วมทุนระหว่างจีน-เยอรมัน ที่ชื่อ "Shanghai
Volkswagen" หรือในชื่อจีนคือ "ซ่างไห่ต้าจ้ง:
" ก็เปิดทำการ ณ เมืองท่าใหญ่ของจีนคือ เซี่ยงไฮ้ โดยผลิตรถโฟล์คสวาเกนรุ่นซานตานา
(Santana) ออกมาเป็นสินค้าหลัก ทั้งนี้จากการผูกขาดของโฟล์ค ในการผลิตรถป้อนตลาดจีนนั้นมีตัวเลขระบุว่า
ในช่วงกลางถึงปลายทศวรรษที่ 1980 หากนับรถยนต์ที่วิ่งอยู่บนท้องถนนในเมืองจีน
10 คันนั้นอย่างน้อยต้องเป็นโฟล์ครุ่นซานตานาเสีย 8 คัน
ด้วยข้อได้เปรียบในฐานะผู้เข้ามาเป็นเจ้าแรกในตลาดรถยนต์ของจีน โฟล์คไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้
เพราะในเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1991 โฟล์คก็จับมือกับบริษัทร่วมชาติ Audi
AG และรัฐบาลจีนตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมาอีกหนึ่งแห่งในชื่อ "FAW-Volkswagen"
ในชื่อจีน คือ "อี๋ชี่ต้าจ้ง:
" ที่เมืองฉางชุน มณฑลจี๋หลิน โดยมีเป้าหมายรถยนต์ระดับหรูหราภายใต้ยี่ห้อ
"ออดี้ (Audi)" และโฟล์คสวาเกนบางรุ่น ทั้งนี้โรงงานของ FAW-Volkswagen
ได้เริ่มดำเนินการผลิตอย่างเต็มตัวเมื่อกลางปี ค.ศ.1996
แม้ในช่วงเวลาต่อมารัฐบาลจีนจะเปิดภาคอุตสาหกรรมรถยนต์กว้างขึ้นอย่างมาก
โดยอนุญาตให้บริษัทอื่นๆ จากทั้งสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เยอรมนี อย่างเช่น
เจเนอรัล มอเตอร์ส, โตโยต้า, ซีตรอง, บีเอ็มดับเบิลยู ฯลฯ เข้ามาร่วมทุนกับบริษัทภายในประเทศเพิ่มเติม
โดยถึงปัจจุบันมีโรงงานผลิตรถยนต์ทั้งเล็ก-กลาง-ใหญ่ กว่า 123 แห่งตั้งอยู่ใน
23 เมือง (มีผู้ผลิตรายหลักอยู่ 10 บริษัท เป็นบริษัทที่มีกำลังการผลิตมากกว่า
500,000 คันต่อปี 2 บริษัท และมีกำลังการผลิตมากกว่า 100,000 คันอีก 8 บริษัท)
แต่อิทธิพลของโฟล์คที่ฝังรากหยั่งลึกในตลาดจีนมาหลายทศวรรษที่ยังคงอยู่
ปัจจุบันคล้ายกับความรุ่งเรืองของอุตสาหกรรมการสื่อสารของเมืองไทย ที่บริษัทโทรศัพท์เคลื่อนที่ต่างเป็นลูกค้ารายใหญ่ของอุตสาหกรรมโฆษณาและสื่อสารมวลชน
เช่นเดียวกันกับสถานการณ์ในประเทศจีน หลักฐานที่พิสูจน์ถึงความร้อนแรงที่มีในอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศจีน
ก็ไม่ต่างกันเท่าไร เพราะบริษัทรถยนต์ในจีนต่างยึดหน้าโฆษณาในหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆ ไว้อย่างเหนียวแน่น
จนคนจีนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าโฆษณาตามหน้าหนังสือพิมพ์ ในปัจจุบัน "ไม่ขายบ้านก็ขายรถ"
อย่างไรก็ตาม หากเหลือบไปดูราคาของสินทรัพย์ทั้งสองชนิดแล้วจะพบว่าสะท้อนภาพ
"ความรวยกะทันหัน" ของคนจีนได้เป็นอย่างดี เพราะแม้จีนจะเป็นประเทศที่สามารถผลิตรถยนต์ในแต่ละปี
มีปริมาณมากเป็นอันดับ 4 ของโลก (คาดการณ์ในปี ค.ศ.2003 จะผลิตได้ 4 ล้านคัน)
แต่ราคารถยนต์ในประเทศจีนนั้นหากเปรียบเทียบกับในสหรัฐฯ หรือยุโรปแล้วกลับสูงมากกว่า
2 เท่า ด้วยอัตราภาษีที่เก็บหนักถึงร้อยละ 30-40 สำหรับรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ
และภาษีจะขึ้นไปถึงร้อยละ 60 หากเป็นรถยนต์นำเข้า (ภาษีรถยนต์นำเข้ามีการลดลงแล้ว
หลังจากจีนเข้าเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก)
กระนั้นคนจีนก็ยังคงเข้าคิวรอซื้อรถยนต์กันอย่างไม่ขาดสาย จนภาครัฐของจีนล่าสุดต้องออกมาเบรกกระแสความร้อนแรงดังกล่าว
ด้วยเหตุผลหลายประการด้วยกัน คือ หนึ่ง เมืองใหญ่ๆ ของจีนกำลังประสบปัญหาการจราจรและมลพิษอย่างหนักหน่วง
สอง น้ำมันเป็นพลังงานที่จีนไม่สามารถผลิตใช้เองได้อย่างเพียงพอในประเทศ
และต้องนำเข้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นในแบบก้าวกระโดดทุกปี
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนต้องจะเสริมสร้างอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศให้ก้าวไปอีกขั้น
โดยเน้นพัฒนามาตรฐานของเทคโนโลยียกระดับการวิจัย-พัฒนา ประหยัดพลังงาน รวมไปถึงอุตสาหกรรมการบริการที่เกี่ยวข้อง
ภายใต้นโยบายอุตสาหกรรมรถยนต์ใหม่ที่คาดว่าจะมีการประกาศใช้เร็วๆ นี้
รัฐบาลจีนจะทำการเก็บภาษีส่วนประกอบรถยนต์ที่นำเข้ามาผลิตขึ้นเป็นคันในประเทศ
ด้วยอัตราสินค้านำเข้า ขณะที่ในอีกด้านหนึ่งก็จะเร่งสนับสนุนอุตสาหกรรมต้นน้ำคือ
อุตสาหกรรมเหล็ก เคมี เครื่องจักร อิเล็กทรอนิกส์ และสิ่งทอ ทั้งในแง่ของเทคโนโลยีและปริมาณ
เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในระดับนานาชาติ ก่อนที่ในปี ค.ศ.2005 ตามสัญญากับดับเบิลยูทีโอ
จีนจะต้องลดกำแพงการค้า เช่น ใบอนุญาตนำเข้า โควตาการนำเข้าและภาษีนำเข้าไม่เกินร้อยละ
25
พัฒนาการจาก "ถีบ 2 ล้อ" มาเป็น "เหยียบ 4 ล้อ" ของจีน
ได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ขึ้นในหลายแง่หลายมุม ในด้านบวกจีนได้ใช้โอกาสในฐานะประเทศที่มีตลาดใหญ่ที่สุดในโลก
ดึงเทคโนโลยีจากต่างชาติเข้ามาพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศให้เติบโตได้อย่างชาญฉลาด
และเตรียมพร้อมที่จะก้าวไปแข่งขันกับตลาดโลกในอนาคต ส่วนในด้านลบ จีนก็ต้องตามแก้ผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้นอยู่กับปัญหา
การจราจร พลังงาน และมลพิษที่กำลังเพิ่มเป็นดินพอกหางหมูด้วยเช่นกัน
เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
Shanghai Volkswagen - http://www.csvw.com/csvw/index.htm
FAW-Volkswagen - www.faw-volkswagen.com