ระหว่างขับรถไปตามเส้นทางคดเคี้ยวที่คู่ขนานกับชายหาดยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตามุ่งสู่
Amalfi จุดหมายปลายทางของการเดินทางท่องเที่ยว มีคนแนะนำว่าให้เพลิดเพลินกับการชมทัศนียภาพสองข้างทาง
ที่มีทั้งหน้าผาสูงชัน มีหมู่บ้านที่ปลูกลดหลั่นเรียงรายลงมาตามความชันของพื้นที่
สีขาวของผนังบ้านและสีแดงของหลังคาบ้านให้ความรู้สึกสดชื่นได้เหมือนกัน หรือไม่ก็ชื่นชมกับสีฟ้าของท้องทะเลเวิ้งว้างไปพลางๆ
เพราะการจราจรออกจะแออัดอยู่ไม่เบา ยิ่งถ้าเป็นฤดูท่องเที่ยวแล้ว สภาพการจราจรถึงขั้นติดขัดเลยทีเดียว
ท่าเรือเก่าแก่ของ Amalfi เป็นสถานที่เล็กๆ ที่สะท้อนถึงความเกรียงไกรในอดีต
เพราะช่วงศตวรรษที่ 11 และ 12 ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐริมทะเล ซึ่งทรงอิทธิพลและอำนาจมากที่สุดของอิตาลี
จากนั้นก็ค่อยๆ เสื่อมความสำคัญลงไปเรื่อยๆ ต่อมาในศตวรรษที่ 19 นักท่องเที่ยวผู้รักการผจญภัยได้ค้นพบดินแดนสวยงามนี้อีกครั้งหนึ่ง
ส่วนกลุ่มชนชั้นสูงก็มีบทบาททำให้ Amalfi หวนกลับมามีความสำคัญเชิงวัฒนธรรมในช่วงทศวรรษ
1960 ปัจจุบัน Amalfi อยู่ได้ด้วยรายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยอาศัยสิ่งที่หลงเหลือจากความยิ่งใหญ่ในอดีตมาเป็นจุดขาย
นอกจากนี้ยังมีสภาพภูมิศาสตร์ของอ่าวที่สวยงาม จัตุรัสหินอันกว้างใหญ่ที่ประดับด้วยคาเฟ่และน้ำพุ
โบสถ์ยุคโรมัน โรงแรมและสถานที่พักตากอากาศ ซึ่งล้วนแล้วแต่ขายจุดชมทะเลทั้งสิ้น
นอกเหนือจากการเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วยตัวของมันเองแล้ว Amalfi ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้ได้เป็นอย่างดี
มีจุดหมายปลายทางต่อไปคือ Sorrento และ Pompei ซึ่งอยู่ในเส้นทางเลียบชายฝั่งมุ่งหน้าขึ้นไปยัง
Maples นั่นเอง
ถัดไปเป็น Ravello เมืองสวยงามซึ่งตั้งอยู่บนที่สูงจนแลดูเสมือนหนึ่งว่า
อยู่ตรงจุดสูงสุดของโลกเลยทีเดียว เมืองนี้นอกจากจะเป็นจุดชมวิวของชายหาด
Amalfi อย่างวิเศษแล้ว ยังมีเสน่ห์ของการผสมผสานระหว่างความเป็นชนบทศิลปะ
และสถาปัตยกรรมอย่างน่าทึ่ง
ใกล้ๆ กันเป็นเมือง Positano ที่โด่งดังด้านการประมง นับจากทศวรรษ 1950
เป็นต้นมา เมืองนี้ยังเป็นแหล่งชุมนุมของนักเขียนและศิลปินเพราะมีความงามเชิงศิลปะในลักษณะเมืองคู่แฝดกับ
Amalfi อีกด้วย