ลูกเกดสร้างมิติของซูเปอร์โมเดลจากประสบการณ์ทำงานหลากหลาย เหมือนเพชรเจียระไนที่คมและมีประกาย
เธอได้สร้างนิยาม "ความเป็นลูกเกด" ที่กล้า มั่นใจ เซ็กซี่ และมีสมอง แม้ไม่ใช่คนแรกที่ทำ
เพราะมีคนที่กล้าและดังกว่าเธอในอดีต แต่วันนี้ ลูกเกดกลายเป็นต้นแบบหนึ่ง
(Role Model) สำหรับนางแบบรุ่นน้อง
อย่าง รัศมี ทองสิริไพรศรี ที่มองเห็น Value และ Know-how ของมืออาชีพที่น่าศึกษา
น้อยครั้งที่จะเห็น "ลูกเกด" เมทินี กิ่งโพยม ไปสายเล็กน้อยในฐานะอาชีพนางแบบชื่อดังของประเทศไทย
วัย 31 เธอทำงานต้องรับผิดชอบและรักษาเวลา เมื่อเธอเดินทางถึงโรงแรมพลาซา
แอทธินี เธอซ้อม 2 ครั้งก็พร้อมเดินแบบในคอลเลกชั่นเพชร ชุดใหม่ของ "คาร์เทียร์"
เพชรชื่อดังระดับ World Class ที่มีชื่อเสียงยาวนานกว่า 100 ปี
อีกด้านหนึ่ง "ลูกหมี" รัศมี ทองสิริไพรศรี ในฐานะอาชีพนางแบบวัยเบญจเพส
เธอมีจุดเริ่มต้นในวงการบันเทิงจากการประกวด "เปรียว ซูเปอร์โมเดล 1998"
ปีเดียวกับการถ่ายภาพที่เกรียวกราวของเมทินี
แม้ว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ลูกหมีไม่สามารถขึ้นไปเป็นสุดยอดนางแบบเปรียว
แต่ตอนนี้เธอกลายเป็นนางแบบอาชีพแล้ว ขณะที่ผู้ชนะกลับก้าวออกจากวงการแฟชั่นเรียบร้อยแล้ว
ความฝันที่จะเป็นนางแบบและมีชื่อเสียง จำเป็นที่จะต้องผ่านเวทีประกวด โดยหวังจะมีแมวมองเห็นค่า
แต่บางคนเดินเข้า ไปหาโมเดลลิ่งเพื่อหางานที่ยอมเอเยนซี่หักค่านายหน้า 50%
รัศมียอมรับว่า หลังจากเธอพลาดตำแหน่งก็มีเหล่าโมเดลลิ่งต่างๆ ติดต่อเข้ามาหาให้ไปตามงานออดิชั่นสินค้าต่างๆ
หลายงานจนเหนื่อย เธอเห็นว่าถ้ามีโอกาสเธอก็ไป เพื่อให้ได้งาน ไม่ได้หวังว่าจะสามารถมายืน
ณ ที่เธอยืนอยู่ตอนนี้ได้
แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อเพื่อนของเธอได้ชักชวนไปงานที่จัดโดย Channel V เธอได้รับการแนะนำจากเพื่อนให้รู้จักพี่ลูกเกด-เมทินี
กิ่งโพยม นางแบบชื่อดังแห่งยุค ซึ่งจูงมือรัศมีไปหานคร สัมพันธรักษ์ หรือพี่ต้อย
นาการา ในที่สุดเธอก็ได้งานเดินแบบครั้งแรกของห้องเสื้อชั้นนำ จนถึงงานวันเปิดตัวชุดคอลเลกชั่นใหม่ของคาร์เทียร์
รัศมีเป็นคนแรกที่เดินแบบ
ในเส้นทางนางแบบทุกสิ่งทุกอย่างมักเกิดขึ้นจากการเรียนรู้จากประสบการณ์การทำงานโดยตรง
คุณสมบัติการเรียนรู้ และตั้งใจเก็บเกี่ยวเป็นสิ่งที่จะไม่มีใครมาสอนให้ได้
การนำความรู้ในแต่ละงานโชว์ไปผนวกกับงานหน้า ทำให้เกิดเป็นประสบการณ์การทำงานและเรียนรู้ไปด้วยกัน
ขั้นตอนที่นางแบบรับงาน ลูกหมีเล่าว่า บางทีนางแบบนึกภาพพรุ่งนี้ที่จะเดินแบบไม่ออกว่ามันเป็นอย่างไร
เพราะเวลาที่เขาเช็กคิวกันจะคุยกันดังนี้
"พรุ่งนี้ว่างไหม"
"ว่าง"
"เป็นงานอะไรพี่"
"พรุ่งนี้ลูกหมีเดิน Hermes"
"เดินกี่ชุด" เพราะการรับงานแต่ละครั้งคุยกันไม่เยอะ เขาบอกว่า
"เดินสองชุด"
"กี่โมงถึงกี่โมง ได้ตังค์เท่าไหร่พี่?"
"ประมาณว่าคุยจบแค่นี้ แต่เขาอาจจะไม่ได้บอกเพิ่มว่า จะมีการเดินแบบเอากระเป๋าปิดนม
คุณต้องใส่เสื้อเปิดอก เดินไม่มีกระเป๋าปิดนมแบบโอเด็ต คือมันคาดไม่ถึง และแล้วแต่สไตลิสต์ที่โทรมาคุยกับเราว่า
คนนั้นเป็นคนอย่างไร แฟร์กับเราไหม?" ลูกหมีเล่าให้ฟัง
ในงานนี้มีนางแบบเดินกันทั้งหมด 5 คน เป็นนางแบบรุ่นพี่สองคนคือ ลูกเกด
และจอย วราลักษณ์ วาณิชย์กุล และที่เหลือเป็นรุ่นน้อง นางแบบทุกคนสวมชุดราตรีสีดำแพรหรูระยับเข้ากับบรรยากาศลึกลับแบบจีน
โดยใช้สีดำ แดง ขาว เป็นสีเดินเรื่องราวให้เข้าคอนเซ็ปต์
เมื่อถึงชุดฟินาเล่ที่ลูกเกดต้องพรีเซ็นต์ไฮไลต์ของงานเครื่องเพชรของคาร์เทียร์ชุดสุดท้าย
รัศมีเล่าใหัฟังว่า
"พี่เกดต้องเดินชุดนั้น ซึ่งยากที่สุดก็ว่าได้ เพราะมันเป็นชุดยาว และพี่เขาต้องก้าวลงจากเสลี่ยงที่มีผู้ชายสี่คนแบกหาม
มองดูภายนอกอาจจะเห็นว่าก้าวลงง่ายๆ แต่ที่จริงมันเป็นเรื่องที่ยากมาก "อู้ฮู้..ยากมากๆ"
พี่เขาจะระบายออกมาดังๆ ตอนเข้าถึงหลังเวที แต่ที่เห็นเบื้องหน้า พี่เกดทำได้
เพราะต้องทั้งโชว์ผ้าที่เขาถือ และอีกมือหนึ่งต้องจับกระโปรงและต้องพรีเซ็นต์สร้อยเพชรข้างหลังอีก
นั่นคือพี่เกดเป็นโปรเฟสชั่นแนลจริงๆ" นี่คือ role model ที่รัศมีอยากทำได้แบบนี้
ด้วยการพรีเซ็นต์ถูกจุดและท่วงท่าสง่างาม
"ตอนนี้ลูกหมีทำงานมา 5 ปีครึ่ง จากอายุ 19 กว่าๆ พี่ลูกเกดเป็นเหมือนต้นแบบของลูกหมี
เพราะตอนที่ลูกหมีเข้าวงการจากการประกวดเปรียว ตอนนั้นพี่เขาก็เริ่มดังแล้ว
เรามองพี่เขาเอาเขาเป็นแบบอย่างในการเดิน ดูลักษณะการเดินของเขา แต่ก่อนที่จะได้ทำงานกับพี่เขาเรามองที่เขาเดินภายนอก
แต่พอได้ทำงานร่วมกัน เราเลยมองไปที่เขาคิด พูด เป็นคนลักษณะแบบไหน ในช่วง
5 ปีครึ่งที่พอจะรู้ว่าเขาเป็นอย่างไรเขาเป็นพี่ที่น่านับถือคนนึง" ลูกหมีเล่าให้ฟัง
สำหรับเมทินีถือได้ว่า เธอก้าวมาสู่จุดสูงสุดของอาชีพนางแบบแล้ว เป็นที่ยอมรับจากแวดวงนางแบบ
ช่างภาพชื่อดัง และดีไซเนอร์เกือบทุกคน เธอเคยรับงานมาจนครบทุกประเภท เคยถ่ายภาพแบบที่หลุดโลกจนไม่คิดว่าจะถ่ายอีกต่อไปในชีวิต
ออกงานต่างๆ ด้วยการเดินชุดฟินาเล่ทุกครั้ง ราวกับว่างานที่ติดต่อเธอมานั้น
จะจงใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดรอเธอไว้ก่อนแล้ว จึงเป็นผลให้แต่ละงานเป็นตัวถีบให้เธออยู่สูงขึ้นเรื่อยๆ
"สำหรับงานนีเวีย ถ้าถามว่าหมีกล้าไหม? ไม่ค่อยกล้าเพราะครอบครัวหมีไม่เปิดรับแต่แรก
แต่พี่เกดเป็นสาวหัวนอก มั่นใจ และผ่านงานเยอะ ทำให้มีพาวเวอร์ตัดสินใจได้
ส่วนปกพี่ลูกเกดในอิมเมจ ครั้งแรกที่เห็น หมีอึ้งเลยคิดว่า มันแรงเหมือนกันนะ
เคยคิดว่าถ้าเราทำบ้างจะเป็นอย่างไร? หมีทึ่งความรู้สึกนึกคิดของพี่เกด แต่ก็ซูฮก
ชื่นชมเขามากกว่า มีปกแพรวเล่มหนึ่งเอาริบบิ้นพันหน้าอก หมีอยากบอกว่ามันสุดยอด
ดารานางแบบเปิดอกกันมากขึ้นหรือไม่ หมีคิดว่าขึ้นอยู่กับคอนเซ็ปต์ของหนังสือมากกว่า
ไม่เกี่ยวกับพี่เกดไปจุดชนวน"
สำหรับค่าตัวของนางแบบอาชีพโดยทั่วไปมีอัตราเดินแบบแต่ละงานประมาณ 8,000-10,000
บาท ค่าตัวของนางแบบจะขึ้นตามอายุงาน แม้นางแบบที่อายุงาน 5-10 ปี มีค่าตัวต่างกันเพียง
1,000-2,000 บาท บางครั้งมีงานให้เดินแบบถึงอาทิตย์ละ 5 วัน ช่วงไหนที่มีงานเดินมากรายได้อาจถึงหลักแสนบาทต่อเดือน
ไม่นับรวมงานถ่ายแบบและพรีเซ็นเตอร์โฆษณาที่บางครั้งทำให้มีรายได้หลายล้านบาทในหนึ่งปี
"อย่างพี่ลูกเกดกับลูกหมี เรตก็ไม่ต่างกันไม่มาก พันสองพัน หมีไม่เคยคิดว่า
ทำไมคนนั้นมากกว่า? เพราะเราต้องเคารพรุ่นพี่ เขาทำงานมาเยอะ" นี่คือทัศนะรุ่นน้อง
เป็นที่รู้กันว่า ความสามารถทำมาหากินของนางแบบขึ้นอยู่อายและหน้าตา ยิ่งอายุเกิน
35 ก็เหมือนนักมวยที่ถูกบังคับให้ต้องแขวนนวม เช่น คาร่า พลสิทธิ์ ซึ่งร้างลาเวทีแคตวอล์กไปตั้งแต่อายุ
35 โดยไปเป็นพิธีกร พรีเซ็นเตอร์ และเล่นหนัง
ขณะนี้วัยของเมทินี 31 รัศมีมองว่า พี่ลูกเกดคนนี้ยังไงก็ยังอยู่อีกนาน
แต่ทุกคนก็ทราบว่า คงจะถึงเวลาที่ต้องเตรียมพร้อมสำหรับช่วงขาลงของอาชีพ
เป็นไปได้ว่าที่เมทินีอาจจะเดินไปเรื่อยๆ ถ้าเธอไม่คิดที่จะแต่งงานเหมือนนางแบบคนอื่นที่ออกไปจากอาชีพ
เพราะสาเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นเฮเลน-ปทุมรัตน์ ขณะนี้จึงเหลือลูกเกดและซอนย่าที่เป็นโสด
"จากที่ดูๆ ขณะนี้นางแบบที่อยู่ในช่วงอายุ 28 ปีขึ้นไปยังมีประมาณ 6-7
คนที่ยังเดินแบบตามงานทั่วไปอยู่ แต่นับวันก็เริ่มที่จะน้อยลงเรื่อยๆ"
ในแต่ละปีมีการจัดการประกวดนางแบบนายแบบอยู่หลายต่อหลายงาน มีคนหนุ่มสาวนับพันที่ฝันจะมายืน
ณ จุดที่สูงที่สุดของการประกวดเพียงคนเดียว ก่อนที่จะผ่านเวทีนั้นๆ ไปสู่อาชีพจริงที่ยากจะหวัง
ก่อนลูกเกดกลับ เธอเดินจากไปด้วยความมีสัมมาคารวะไหว้ลาทุกคนที่รู้จัก
พร้อมกับรอยยิ้มที่จริงใจตรงไปตรงมา ไม่เหมือนภาพบนเวทีเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคน