ทำไมจู่ๆ คนทำงานออฟฟิศอย่างเราจึงได้รับโชคดี
ได้วงเงินใช้สูงถึง 7 หมื่นบาทได้ คำว่าสภาพคล่องล้นตลาดคงเป็นเรื่องยากที่คนธรรมดาเดินดินอย่างเราๆ
จะรู้สึกได้ หากไม่เจอด้วยตัวเอง และในยามนี้การได้รับเครดิตวงเงินจำนวนมากจากบริษัทที่มีชื่อเสียง
อาจทำให้เกิดความลิงโลดใจอย่างผิดๆ ได้ หากไม่ฉุกคิดสักนิดว่าเหตุใด จู่ๆ
คนเราเกิดจะมีเครดิตดีขึ้นมาขนาดนี้ได้อย่างรวดเร็ว
ที่กำลังจะกล่าวถึงต่อไปนี้คือบริการสินเชื่อบุคคล จีอี แคปปิตอล ที่ตอนนี้ทำการรุกตลาดอย่างหนัก
โดยอาศัยฐานข้อมูลลูกค้าที่บริษัทบริหารสินเชื่ออยู่ เช่น ฐานจากลูกค้าบัตรเครดิตเซ็นทรัลการ์ด,
ฐานลูกค้าสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่บริษัทฯ ประมูลมาได้จาก ปรส. เป็นต้น
บริษัท จีอี แคปปิตอล (ประ-เทศไทย) ได้ออกบริการสินเชื่อบุคคล จี-อีแคปปิตอล
และใช้วิธีส่งจดหมายและเอกสารต่างๆ ไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย อ้างว่าลูกค้าเป็นบุคคลที่ได้รับการเลือก
สรรว่ามีสถานภาพทางการเงินที่ดีเยี่ยม บริษัทฯ ยินดีมอบสิทธิพิเศษอนุมัติสินเชื่อบุคคลให้ทันที
โดยไม่ต้องแสดงหลักฐานทางการเงิน ไม่ต้องมีหลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกันใดๆ
เพียงลูกค้ากรอกรายละเอียดต่างๆ ลงในใบตอบรับ พร้อมทั้งลงลายมือชื่อให้ครบถ้วนสมบูรณ์
แนบเอกสารตามที่ระบุในใบตอบรับ ใส่ซองตอบรับที่แนบมาโดยไม่ต้องติดแสตมป์
และส่งกลับมายังบริษัทฯ ภายในวันที่ที่ระบุในใบตอบรับ บริษัทฯ จะโอนเงินเข้าบัญชีของลูกค้าภายใน
5 วันทำการ
กลยุทธ์อนุมัติพิเศษหรือ pre-approved ของบริษัทฯ ให้วงเงินสูงถึง 70,000
บาท ลูกค้าจะใช้เต็มวงเงินหรือต่ำกว่าวงเงินก็ได้ แต่ต้องไม่ต่ำกว่า 10,000
บาท
บริษัทฯ ยังมีคำแนะนำด้วยว่าลูกค้าสามารถใช้สินเชื่อบุคคลนี้ เพื่อการท่องเที่ยวพักผ่อนหรือเพื่อการศึกษา
ก็ได้ หรือเพื่อจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลสิ้นปีที่กำลังจะมาถึง ทั้งนี้บริษัท
ได้แนบเอกสารแนะนำการท่องเที่ยวและ การศึกษามาให้ลูกค้าด้วย
ด้านการคิดค่าใช้จ่ายจากวงเงินนี้ บริษัทฯ คิด (1) อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อเดือน
(2) คิดค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน 1% ต่อเดือน และคิด (3) ค่าบริการครั้ง
แรก 5% ของยอดเงินกู้ (แต่ไม่น้อยกว่า 500 บาท) โดยค่าบริการนี้จะถูกหักจากเงินกู้
ก่อนการโอนเข้าบัญชีลูกค้าหรือก่อนการชำระให้กับบริษัทฯ ที่ให้บริการการท่องเที่ยวหรือการศึกษา
ค่าใช้จ่าย 3 รายการนี้เป็นจำนวน เงินไม่น้อยทีเดียว เทียบแล้วคล้ายกับการกู้นอกระบบทั้งหลายที่มีการคิดค่าปากถุงและหักดอกเบี้ยจากวงเงินกู้ตั้งแต่ต้น
ตัวอย่างหากวงเงินกู้เท่ากับ 10,000 บาท ระยะเวลาการกู้ 12 เดือน ค่าบริการครั้งแรกเท่ากับ
500 บาท อัตรา ดอกเบี้ยเดือนละ 100 บาท (ช่วงแนะนำ คิดดอกเบี้ยเฉพาะเดือนแรกเท่านั้น)
ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินเดือนละ 100 บาท เท่ากับปีละ 1,200 บาท
ในกรณีนี้จะจ่ายเงินต้นและอัตราการใช้วงเงินเดือนละ 941.66 บาท หรือคิดเป็นเม็ดเงินที่ต้องชำระคืนรวม
11,300 บาท รวมกับค่าบริการครั้งแรก 500 บาทที่ถูกหักไปแล้ว จะเท่ากับ 11,800
บาท หรือคิดเป็นดอกเบี้ย 13% ต่อปี
กรณีที่กู้เต็มวงเงิน 70,000 บาท ค่าธรรมเนียมต่างๆ ก็จะสูงขึ้นไปอีก
คือต้องเสียค่าบริการครั้งแรก 3,500 บาท อัตราดอกเบี้ยคิดเดือนแรก 700 บาท
อัตราการใช้วงเงิน 8,400 บาท ซึ่งต้องผ่อนชำระ 6,951.66 บาท (ระยะเวลา 12
เดือน) คิดแล้วเป็นอัตราดอกเบี้ยประมาณ 19.17% ทีเดียว
สรุปรวมความแล้วค่าธรรมเนียม ไม่ได้ถูกอย่างที่คิด อัตราดอกเบี้ยก็เทียบเท่ากับที่ธนาคารพาณิชย์ปล่อยให้ลูกค้าสินเชื่อบัตรเครดิตทั้งหลาย
แต่ขั้นตอนการอนุมัติสะดวกง่ายดายกว่า
ต้องถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่น่ากลัวสำหรับธนาคารพาณิชย์ แม้ในยามนี้ธนาคารไม่ต้องการปล่อยสินเชื่อลูกค้าแบบนี้มาก
เพราะอัตราเสี่ยงสูงและยังต้องกันเงินสำรองด้วย แต่ในอนาคตซึ่งการแข่งขันในกิจการบริการทางการเงินมี
สูงมาก เพราะแบงก์ต่างชาติที่ซื้อกิจการ แบงก์พาณิชย์ไทยต่างตระเตรียมขยาย
บริการของตัวเข้าสู่ฐานลูกค้ากลุ่ม นี้ที่ได้จากแบงก์ไทย กลยุทธ์ของจีอีฯ
เท่า กับแข่งกับแบงก์พาณิชย์กลุ่มนี้โดยตรง
นอกจากนี้การที่จีอีฯ นำเม็ดเงินลงทุนเข้ามาเป็นดอลลาร์สหรัฐในตอนต้นนั้น
ก็ทำให้บริษัทได้กำไรส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน ชนิดที่เรียกว่าต้นทุนเม็ดเงินที่เอามาขยายกิจการนั้น
แทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ โปรแกรมของจีอีฯ จึงถือว่าให้มาร์จินบริษัทฯ สูงกว่าโปรแกรม
ของธนาคารพาณิชย์ที่มีต้นทุนเม็ดเงินสูงกว่า
กล่าวได้ว่านี่เป็นสภาพคล่องล้นตลาดที่เผื่อแผ่มาถึงชนชั้นกลางที่เผยอไปเป็นลูกค้าของจีอีฯ
ได้