น้อยคนนักที่จะรู้ว่าวิลาศ ชลวร เป็นใครมาจากไหน และกำลังทำอะไรอยู่ "ข่าวลือ"
จึงดูจะเป็นเพื่อนสนิทของเขาตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นข่าวการอยู่เบื้องหลังการปั่นราคาที่ดิน
ข่าวการใช้อิทธิพลกับคนในกระทรวงมหาดไทยกว้านซื้อที่ดินในต่างจังหวัดนับพันนับหมื่นไร่
และถูกกล่าวหาว่าเป็นนักธุรกิจที่จับเสือมือเปล่า ภาพอันเลือนลางของเขาดูเหมือนจะเป็นเพียงตัวแทนในการค้าที่ดินให้แก่กลุ่มนายทุนเท่านั้นเอง
หนุ่มใหญ่วัน 40 กว่าปี คนนี้เกิดมาในตระกูล "โง้ว" พ่อของเขาค้าขายผ้าย่านสำเพ็ง
ที่มีฐานะในระดับเป็นเจ้าของตึก 7 ชั้นที่ถนนเยาวราชในยุคนั้นทีเดียว พี่ชายของเขาจึงมีโอกาสเรียนหนังสือถึงระดับเนติบัณฑิตไทย
จนปัจจุบันเป็นผู้พิพากษาระดับหัวหน้าคณะในศาลอาญา
สมัยวิลาศเป็นหนุ่มรุ่นกระทง ฐานะทางบ้านของเขาเริ่มตกต่ำ ทั้งนี้เพราะภัยทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำและพิษสงจากสงครามในอินโดจีน
ประกอบกับตัวเขาเองก็เรียนไม่ค่อยเก่งนัก จึงสละตัวเองออกมาให้น้อง ๆ ได้เรียน
เมื่อออกจาก ม. 6 อายุเขาได้ 16 ปี อาของเขาที่ทำงานกับบริษัทสหพัฒนพิบูลย์อยู่แล้วได้
นำเขาเข้ามาฝากฝึกงานที่บริษัดด้วย ชีวิตของเขาจึงไม่ผ่านวันสนุกสนานแบบวัยรุ่นคนอื่น
ๆ
ความที่วิลาศเป็นคนที่ไม่ค่อยยอมให้ใครง่าย ๆ จึงไม่เป็นที่พอใจของหัวหน้างาน
จึงถึงขั้นเสนอให้เขาออก แต่เทียม โชควัฒนา ได้ขอเอาไว้โดยให้วิลาศเข้ามาช่วยงานเป็นการ
ส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ นับตั้งแต่ชงกาแฟ ดูแลความเรียบร้อยต่าง ๆ ตามแต่นายห้างจะใช้
วิลาศก็ได้รับความไว้วางใจจากนายห้างมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นผู้ติดตามและคอยบันทึกการประชุมต่างๆเกือบทั้งหมด
ในระหว่างนั้นวิลาศได้สมัครเข้าเรียนพาณิชย์ภาคค่ำที่นครหลวงวิทยาลัย แต่ก็เรียนไม่จบเพราะว่า
งานที่เทียมมอบหมายให้เขาทำนั้นนับวันจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามระดับความไว้ใจ
จนในที่สุดก็ลองให้เขาลองเป็นพนักงานขายโดยให้ไปประจำที่จังหวัดร้อยเอ็ด
รับผิดชอบการขายในเขตหลายจังหวัดในภาคอีสาน ในขณะที่วิลาศเพิ่งจะอายุ 20
ปีเท่านั้น
"ตอนอยู่กับท่านผมได้เรียนรู้วิธีการทำงาน การค้าการขายมากมายจากท่าน
เพราะว่า จะต้องอยู่คอยรับใช้ท่านตลอด ผมเรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตและจริงใจ
เรียนรู้ถึงการทำการค้าที่จะต้อขยัน ต้องมาทำงานตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าและกลับบ้านตอนสองยาม
เพราะถ้าท่านไม่กลับเราก็ไม่รู้จะกลับได้อย่างไร" วิลาสพูดถึงความหลังที่เขาบอกว่าเขาโชคดีที่ได้มีโอกาสได้รับใช้ใกล้ชิดนายห้างเทียม
แม้ว่าเขาจะไม่มีโอกาสเรียนหนังสือในห้องเรียนให้จบปริญญาอย่างคนอื่น ๆ
ความขยันทำให้ วิลาศ ชลวร หนุ่มวัย 21 ปี ได้กลายพนักงานขายที่มียอดจำหน่ายมากที่สุดของประเทศ
ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจสำหรับนายห้างเทียมอย่างมากที่เขาใช้คนไม่ผิด
"พูดง่าย ๆ ว่าผมต้องทำงานมากกว่าคนอื่น ๆ เป็นสามเท่า อย่างนั้นแล้วจะไม่ให้ผมขายได้มากกว่าคนอื่นได้อย่างไร"
วิลาศเล่าถึงปัจจัยที่ทำให้เขาเป็นเซลแมนมือเยี่ยม
ความสำเร็จนี้ นายห้างเทียมโชควัฒนา ได้แต่งตั้งเขาเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์
กินเงินเดือน 20,000 บาททันที มีหน้าที่วางแผนจัดจำหน่ายและตรวจตลาดทั่วประเทศ
ซึ่งวิลาศบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับตลาดคอนซูมเมอร์ ซึ่งมีบริษัท
บอร์เนียว คอลเกต และลีเวอร์บราเดอร์ ซึ่งล้วนแต่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติครองตลาดเมืองไทยอยู่ก่อนแล้วทั้งสิ้น
จากซุปเปอร์ไวเซอร์ เปลี่ยนมาเป็นหัวหน้าแผนกวิจัยและวางแผนการตลาดและผู้จัดการผลิตภัณท์
ซึ่งเป็นตำแหน่งสุดท้ายในสหพัฒนฯ ของเขาหลังจากที่ได้แสดงผลงานในการออกสินค้ายาสระผมไลอ้อนสูตรมะกรูดออกไปเป็นที่ต้อนรับของตลาดเป็นอย่างดี
เขาออกจากสพัฒนฯด้วยสาเหตุความไม่ลงรอยกับนักวิชาการในบริษัทเกี่ยวกับวิธีการออกวางตลาดสินค้ายาสีฟัน
เมื่อบริษัท ตัดสินใจตามที่นักวิชาการคนนั้นเสนอ ก็เป็นจุดที่เขายื่นใบลาออกในทันทีตั้งแต่บัดนั้น
"ต้องเข้าใจนะว่าถึงระดับหนึ่งแล้วนี่ความจำเป็นที่จะใช้นักวิชาการมันก็มีมากขึ้น
ตอนนั้นปริญญาโทปริญญาเอกกำลังหลั่งไหลเข้ามาในบริษัทมาก ผมไม่มีปริญญาซึ่งก็ไม่เห็นด้วยกับเขา
เพราะการออกสินค้าคอนซูมเมอร์นี่ถ้าผิดนิดเดียวมันก็ขายไม่ได้ความเสียหายมันสูง"
เขากล่าวถึงเหตุผลที่จะต้องลาออกจากสหพัฒนฯ หลังจากที่เขาทำงานที่นี่มากกว่า
10 ปี
เมื่อจากสหพัฒน ฯ ก็เริ่มเป็นเถ้าแก่เอง โดยการตั้งบริษัทเฮ้าส์ซิ่งโปรดักส์
ทำธุรกิจทางด้านออกแบบตกแต่งและส่งสินค้าเกี่ยวกับการตกแต่งบ้านไปขายต่างประเทศ
ซึ่งเป็นธุรกิจคนละอย่างกับที่เขาเคยทำมาจนเกิดความเชี่ยวชาญ
ธุรกิจของบริษัทเฮ้าส์ซิ่งโปรดักส์กำลังไปได้ดีก็เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองที่พลิกผันขึ้นในปี
2518 ที่ประเทศรอบข้างอย่างลาว เขมร ได้เปลี่ยนการปกครองเป็นระบบสังคมนิยมในปีต่อมาประเทศไทยเองก็เกิดรัฐประหารยึดอำนาจโดยกลุ่มขวาจัดขึ้นมาครองเมือง
เหตุการณ์รุนแรงถึงขนาดมีรัฐมนตรีบางคนเสนอให้ทำกำแพงกั้นตามแนวชายแดนเพราะกลัวคอมมิวนิสต์ยึดประเทศ
นักธุรกิจระดับเศรษฐีหลายคนขนข้าวขนของเตรียมตัวจะหนีไปอยู่ต่างประเทศกันหมด
แต่วิลาศ เชื่อมั่นว่าไม่มีทางที่จะเป็นอย่างนั้นได้และมันก็ได้กลายเป็นจุดเกิดครั้งสำคัญของเขาจากเงินไม่ถึงล้านบาทกลายเป็นเศรษฐีระดับหลายพันล้านในปัจจุบัน
"เชื่อไหมว่าวิกฤตการณ์มักจะสร้างวีรบุรุษเสมอผมเห็นช่องทางจากที่มีคนจะขายที่ดินหนีสงครามตรงนั้นผมลงจับที่ย่านสุขุมวิทซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ชั้นเยี่ยม"
เงินทุนที่เขาได้มาเพื่อซื้อที่ดินแปลงแรกนี้ มีไม่ถึงล้านบาท โดยเป็นเงินที่เขาสะสมจากการค้าขายส่วนหนึ่งอีกส่วนหนึ่งได้มาจากการเล่นแชร์กันในวงการพรรคพวก
ซึ่งบางคนพอรู้ว่าวิลาศจะเอามาซื้อที่ดินก็ไม่ยอมลงด้วย แต่ยินดีจะให้ยืม
แล้วมันก็สำเร็จ เขาทำกำไรจากการขายออกไปหลังจากถือไว้ด้วยเงินดาวน์ไม่นานนัก
หลังจากนั้นการจับที่ดินเพื่อเก็งกำไรก็เริ่มอย่างจริงจังและเกือบทุกแปลงให้ผลคุ้มค่าต่อการเสี่ยงทั้งสิ้น
การจับที่ดินแปลงที่น่าจะเป็นจุดสำคัญของวิลาศที่เขาภูมิใจ คือที่ดินจำนวน
6 ไร่พร้อมบ้าน 6 หลังในซอยสุขุมวิท 61 หรือซอยเศรษฐบุตรของหม่อมเจ้าดุลภากรณ์
วรวรรณในราคาตารางวาละ 6,000 บาท ซึ่งต่อมาภายใน 3 วันเขาสามารถขายและทำกำไรได้ถึง
10 ล้านบาท
"ท่านภูมิใจกับผมมากนะตอนแรกท่านไม่เชื่อว่าผมจะซื้อจริง ๆ เพราะมีคนมาติดต่อกับท่านเป็นสิบ
ๆ คน แต่ไม่มีใครซื้อสักคน ส่วนผมกลับตกลงเลยไม่ได้ต่อราคาแม้แต่บาทเดียว
ผมเรียนกับท่านไว้ว่าถ้าผมซื้อกับท่านแล้วท่านจะต้องไม่เสียดาย และต้องดีใจกับผมถ้าผมได้กำไรมากขึ้น
ผมแบ่งออกเป็น 6 แปลงขายไป 5 แปลงเก็บเอาไว้อยู่เองแปลงหนึ่งได้กำไร 10 ล้าน
ผมแบ่งขายเป็นแปลงย่อย ๆ นี่มันก็ขายง่าย สามวันเท่านั้นผมขายหมด" วิลาศพูดถึงเทคนิคการทำกำไร
วิลาศกล่าวว่าการเติบโตทางธุรกิจของเขาไม่เคยใช้สายสัมพันธ์กับใครมาก่อนทั้งสิ้นทุกอย่างใช้ความตรงไปตรงมาในการเข้าพบไม่ว่าการซื้อหรือขายสินค้า
แม้แต่การหาแหล่งเงินทุนก็เช่นกัน เขากล่าวว่าถึงวันหนึ่งที่มีทุนพอสมควรแล้วก็ใช้บริการแบงก์ทั้งฝากและกู้ยืม
โดยเฉพาะการกู้ยืมซึ่งถือว่าเป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญที่เข้ามาแทนเงินแชร์นอกระบบการเงิน
"ก็ไม่มีอะไร ผมเห็นที่ดินสวยคิดว่าลงทุนแล้วจะได้กำไรก็ถามแบงก์เขาว่าสนใจจะไฟแนนซ์ผมไหม
ซึ่งก็ธรรมดาบางแบงก์ก็ไม่เอา ผมก็หาแบงก์ที่เขาเอาก็เท่านั้น ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยจริง
ๆ และไม่ต้องให้ใครมาแนะนำ" เขาพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจในเครดิตตนเอง
เขายกตัวอย่างการเข้าไปซื้อที่ดินจากหม่อมกอบแก้ว อาภากรณ์ จำนวน 5 ไร่ย่านเอกมัยในราคา
100 ล้านบาทซึ่งก็ไม่ได้ต่อราคาแม้แต่บาทเดียวเช่นเดียวกัน ไม่เคยรู้จักกับหม่อมกอบแก้วมาก่อน
เพียงแต่ทราบว่าหม่อมกอบแก้วต้องการขายที่ดินก็ขอเข้าพบ และทราบว่าท่านต้องการนำเงินที่ขายได้ส่วนหนึ่งบริจาคให้โรงพยาบาลราชวิถีและมูลนิธิอีกหลายแห่ง
วิลาศก็จัดการตามประสงค์ทันที
เมื่อตกลงซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวแล้วก็วางแนวคิดการลงทุนไว้ ซึ่งออกมาว่าจะต้องเป็นทาวเวอร์ที่ออกมาสูง
แต่จะต้องรักษาสภาพธรรมชาติไว้ให้สวยที่สุด เสร็จแล้วก็ใช้เวลาเพียงวันเดียวในการหาผู้ร่วมลงทุน
"คุณเชื่อไหมว่าผมไม่เคยสนิทสนมกับคุณชัย โสภณพนิชมาก่อนเลย ผมใช้เวลาเพียง
5 นาทีทางโทรศัพท์เพื่อชวนเขามาร่วมลงทุนในโครงการทาวเวอร์พาร์ค เมื่อฟังผมพูดแล้วคุณชัยโอเคทันที
กลุ่มผู้ร่วมลงทุนอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกันคุยกันนิดเดียว ส่วนรายละเอียดตามมาทีหลังทั้งสิ้น"
วิลาศพูดถึงการทำธุรกิจหาผู้ร่วมทุนของเขาในขณะที่คนข้างนอกคิดว่าวิลาศเป็นเพียงแค่ตัวแทนนายหน้าของกลุ่มชัย
ฯ ในการทำธุรกิจที่ดิน
"ผมไม่ได้เป็นตัวแทนใคร แต่โครงการต่าง ๆ มันต้องใช้เงินเงินเป็นพันล้านผมลงทุน
คนเดียวไม่ได้หรอกเป็นคนอื่นก็ไม่ไหวเหมือนกันจะต้องหาคนอื่นเข้ามาร่วมลงทุนแบ่งกันตามสัดส่วนความสามารถ
ของแต่ละคนไป อย่างทาวเวอร์พาร์คนี่เพียงเดือนเดียวขายได้หมดผู้ลงทุนทุกคนก็รับผลตอบแทนคุ้มกันหมด"
วิลาศกล่าวย้ำถึงความสำเร็จโครงการทาวเวอร์พาร์ค
ความมีชื่อเสียงในฝีมือลงทุนค้าที่ดินติดต่อกันมาหลายปี ทำให้เขาเข้ามามีบทบาทในภาคราชการ
ถือการเข้าไปเป็นกรรมการในคณะกรรมการประเมินราคาทรัพย์สินทั่วประเทศ และอนุกรรมการประเมินราคาที่ดินกรุงเทพมหานครของกระทรวงมหาดไทยในยุคที่พิศาล
มูลศาสตรสาทร เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยและมีฐานะเป็นประธานคณะกรรมการทั้งสองชุดนั้นโดยตำแหน่ง
ภาพของวิลาศเป็นเสมือนกระเป๋าเงินและคนทำงานให้พิศาลไปโดยปริยายในการกว้านซื้อที่ดินชายทะเลป่าเขาทั่วประเทศ
รวมทั้งการทำตัวเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของการประมูลซื้อที่ดินทำเลทองแปลงใหญ่ๆ
จากกรมบังคับคดี ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ดินของธนาคารสยามที่ สีลม จำนวน 4 ไร่
กรณีโรงแรมรามาการ์เด้นส์ หรืออย่างกรณีที่ดินของราชาเงินทุนที่สามเสนโดยเฉพาะแปลงหลังล้วนแต่เชื่อกันว่ามี
พิศาล มูลศาสตรสาทร เป็นเงาทอดอยู่เบื้องหลังอีก ต่อหนึ่งทั้งสิ้น
"ผมรู้จักกับปลัดพิศาลเพราะพลเอกสิทธิ จิรโรจน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนก่อนแนะนำ
ผมกับพลเอกสิทธิรู้จักกันตั้งแต่สมัยที่เป็นประธานกรรมการมูลนิธิพระเจ้าตากสินและผมเป็นรองเลขานุการ
เมื่อท่านมาเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยท่านก็เห็นว่าควรจะมีการปรับปรุงการประเมินราคาที่ดินกันใหม่เพื่อให้รัฐไม่เสียประโยชน์จากการจัดเก็บภาษี
โดยให้มีคณะกรรมการประเมินขึ้น ท่านก็เห็นควรให้มีเอกชนที่มีความรู้เข้ามาร่วมด้วย"
วิลาศพูดถึงที่มาการเป็นกรรมการประเมินราคาที่ดินของมหาดไทย
แต่เดิมการประเมินราคาที่ดินต่ำกว่าความเป็นจริงมากยกตัวอย่างที่สีลม ทางการประเมินไว้เพียงตารางวาละ
40,000-50,000 บาทเท่านั้นเองขณะที่ซื้อขายกันจริงตารางวาละ 150,000 บาท
และสิ่งนี้คือที่มาการประเมินราคาที่ดินเพื่อจัดเก็บภาษีใหม่ของกรมที่ดินที่วิลาศมีส่วนอย่างสำคัญยิ่งในการให้ข้อมูลราคาซื้อขายในตลาดที่เป็นจริง
วันนี้ วิลาศ ชลวร กล่าวกับ "ผู้จัดการ"เขาเลิกแล้วทุกอย่าง จะไม่เป็นคู่แข่งของใครอีกต่อไป
เพราะว่าถึงเวลาที่เขาบอกไว้กับตัวเองเมื่อ 17 ปีก่อนแล้วว่าเมื่ออายุ 45
แล้วเขาจะวางมือจากธุรกิจซึ่งปัจจุบันนี้เขามีบริษัทในเครือที่กลุ่มถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์และที่ร่วมลงทุนกับกลุ่มอื่นเฉพาะกลุ่มของเขาถือหุ้นตั้งแต่
50 % ขึ้นไปรวมกัน 14 บริษัท
บริษัทลงทุนของกลุ่มคือบริษัท ชลวร โฮลดิ้งส์ บริษัท เฮ้าซิ่งอินเตอร์ บริษัท
ปิยาลัย โฮลดิ้งส์ บริษัทที่ทำธุรกิจได้แก่ บริษัทปิยาลัย รีสอร์ท บริษัทเฟิร์สอันดามัน
บริษัทโกลด์ ซัน- บีช บริษัทอันดามัน อินเตอร์ บริษัทพังงา บีช บริษัทพังงา
เบชอร์ บริษัทสมุย รีสอร์ท บริษัทบำรุงราษฎร์ เอ็ม.ซี. บริษัทสุขุมวิทนานา
บริษัทพุสวรรค์การเกษตร บริษัทชลทะเล รวมทรัพย์สินทั้งในรูปที่ดินและเงินสดมีมูลค่าตามราคาตลาดหลายพันล้านบาท
ทั้งนี้จากการประเมินราคาที่ดินที่เขาซื้อไว้จำนวนนับหลายพันไร่แถบชายทะเลอย่างกระบี่
พังงา ภูเก็ต ระยอง เฉพาะที่เขาปิหลันที่พังงากว่า 1,000 ไร่นั้นตกประมาณไร่ละไม่ต่ำกว่า
5 ล้านบาท
ด้านบริหารเขาวางบทบาทของตัวเองเป็นประธานกรรมการโดยมี อุทัย ชลวร น้องชายของเขาเป็นกรรมการผู้จัดการของกลุ่ม
จันทร์ฉาย ชลวร น้องสะใภ้ดูแลทางด้านการเงินและสธน ชลวร น้องชายของเขาอีกคนดูแลทางด้านต่างประเทศ
ส่วนตัวเองนั้นหยุดงานการเจรจาต่อรองทางธุรกิจอย่างสิ้นเชิงเมื่อเดือนที่ผ่านมาหลังจากเซ็นสัญญาโครงการปิยาลัยรีสอร์ทเสร็จไปเรียบร้อยเป็นงานสุดท้าย
ต่อไปนี้คงจะมีแต่บทบาทในการรับแขกและดูแลการทำงานภายในอย่างห่าง ๆ เท่านั้นเอง