กัปตันเรือชาวไต้หวันวัย 63 ปีอย่างชาง ยุง-ฟา ก้าวขึ้นเป็นเจ้าของธุรกิจทางด้านขนส่งสินค้าทางเรือของโลกทุกวันนี้
ด้วยการสร้างกิจการเดินเรือ "เอเวอร์กรีน" จากบริษัทเล็ก ๆ ที่มีเรือของตนเองเพียงหนึ่งลำจนเป็นบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก
มีเรือบรรทุกสินค้า 65 ลำกับพนักงาน 6,000 คนและยอดรายได้ปี 1989 สูง 925 ล้านดอลลาร์อีกทั้งกำลังสร้างความฮือฮาให้กับธุรกิจแขนงนี้
ด้วยแผนเปิดสายการบินนานาชาติขึ้นในชื่อ "อีวา แอร์เวย์" รวมทั้งเตรียมสร้างเครือข่ายโรงแรมทั่วภูมิภาคเอเชียอีกด้วย
แต่เบื้องหลังความสำเร็จของกิจการในขณะที่คู่แข่งร่วมธุรกิจต่างต่อสู้ดิ้นรนกับภาวะตกต่ำของธุรกิจแขนงนี้
ได้ก่อให้เกิดคำถามที่หลาย ๆ คนในวงการพากันสงสัยว่า ชางได้รับความช่วยเหลือจากญี่ปุ่นมากมายเพียงใด
จึงสามารถสร้างอาณาจักรธุรกิจขนาดมโหฬารเช่นนี้
ปลายปีที่แล้ว ธนาคารฮอกไกโด ทากุโชกุแห่งญี่ปุ่น ได้ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งเข้าไปบริหารเงินทุน
170 ล้านดอลลาร์ ในนามของเอเวอร์กรีน มารีน คอร์ป หลังจากนั้น มารุเบนิ..กลุ่มบริษัทการค้ายักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นก็เข้าบริหารการซื้อเครื่องบินมูลค่า
3,500 ล้านดอลลาร์ เท่ากับเป็นการให้ภาพชัดเจนของบทบาทและสายสัมพันธ์ระหว่างเอเวอร์กรีนกับบริษัทธุรกิจของญี่ปุ่นเป็นอย่างดี
และถ้าจะสืบสาวย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยที่ชาง ทำงานให้กับ "ไต้หวัน มาริไทม์
ทรานสปอร์ต" ในช่วงทศวรรษ 1960 จนได้เป็นผู้อำนวยการของเซ็นทรัล มารีน
ในภายหลัง ตลอดระยะเวลาดังกล่าวชางติดต่อธุรกิจกับมารุเบนิเรื่อยมา จนแม้ชางเกิดขัดแย้งกับคณะกรรมการบริหารของเซ็นทรัล
มารีนแล้วออกมาตั้งบริษัทของตนเองในปี 1968 ชื่อ "เอเวอร์กรีน"
มารุเบนิก็ยังสนับสนุนเอเวอร์กรีน ในการซื้อเรือยนต์มือสองเพื่อใช้เป็นเรือบรรทุก
สินค้าลำแรกครั้นเมี่อเรือลำดังกล่าวเกิดไฟไหม้ขณะบรรทุกสินค้ามุ่งหน้าสู่ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก
เอเวอร์กรีนก็ได้รับความช่วยเหลือจากยาสุดะ ไฟร์แอนด์มารีน ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยที่มีความร่วมมืออย่างหลวม
ๆ อยู่กับมารุเบนิด้วย
กิจการเอเวอร์กรีนเติบโตก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและถึงกับกำหนดอัตราการจัดเก็บค่าระวางบรรทุกสินค้าเอง
โดยไม่สนใจอัตราที่บริษัทชิปปิ้งกำหนดร่วมกันเป็นมาตรฐาน นอกจากนั้นชางยังพยายามหาทางลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอีกด้วย
เขาใช้ความรู้และประสบการณ์ทางด้านชิปปิ้ง เพื่อออกแบบเรือขนส่งสินค้าให้เดินทางได้รวดเร็วขึ้น
จากนั้นติดตั้งระบบการดำเนินการตรวจสอบบัญชีรายการสินค้าของเอเวอร์กรีนด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์
ในช่วงที่เอเวอร์กรีนก่อตั้งกิจการใหม่ ๆ ชางใช้เวลาเกือบครึ่งหนึ่งอยู่ที่ญี่ปุ่น
ความรู้เกี่ยวกับญี่ปุ่นกับความเต็มใจที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมการทำงานแบบญี่ปุ่นช่วยให้ชางบริหารกิจการไปได้อย่างดีโดยมารุเบนิเป็นฝ่ายป้อนสินค้าให้ชาง
และชางก็บรรทุกไปจำหน่ายยังไต้หวัน, สหรัฐฯและยุโรปตามลำดับ นับวันความร่วมมืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างมารุเบนิกับเอเวอร์กรีนก็ยิ่งแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ปีหนึ่ง ๆ มารุเบนิซัพพลายสินค้าจำพวกเหล็กและน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับเอเวอร์กรีนเป็นมูลค่าถึง
35,000 ล้านเยน นอกจากนั้น มารุเบนิยังเป็นฝ่ายแนะนำให้เอเวอร์กรีนได้ติดต่อกับโอโนมิชิ
ด๊อกยาร์ด ซึ่งต่อเรือให้กับเอเวอร์กรีน 18 ลำด้วยกัน และยาสุดะ ไฟร์แอนด์มารีน
ก็รับประกันเรือของเอเวอร์กรีนถึง 90% นับเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดในประเภทการประกันภัยทางทะเล
ความสัมพันธ์กับมารุเบนิอย่างใกล้ชิดนี่เองที่ทำให้เกิดข่าวลือว่าเอเวอร์กรีนเป็นบริษัทที่นักลงทุนญี่ปุ่นเป็นฉากหน้าในการเข้าไปลงทุนในไต้หวัน
แต่ทั้งมารุเบนิและเอเวอร์กรีนต่างปฏิเสธข่าวลือดังกล่าว "ไม่มีใครเข้าไปถือหุ้นของอีกบริษัทหนึ่ง"
ชาง คูโอ-ฮู...บุตรชายคนโตของชางให้ความเห็น
แต่ผลประโยชน์อย่างหนึ่งที่มารุเบนิได้จากการเข้าไปเกี่ยวข้องกับเอเวอร์กรีนก็คือ
การได้ลดค่าขนส่งสินค้าในอัตราพิเศษ ช่วงทศวรรษ 1960 อัตราภาษี, ค่าเงินเยนที่แข็งตัวและปัญหาสหภาพแรงงานในญี่ปุ่น
ส่งผลสะเทือนจนบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือของญี่ปุ่นไม่อาจแข่งขันกับคู่แข่งชาติอื่นได้มารุเบนิจึงต้องหาพันธมิตรเพื่อให้ได้ความได้เปรียบในจุดนี้
นอกจากมารุเบนิแล้ว เอเวอร์กรีนยังได้รับความช่วยเหลือจากธนาคารญี่ปุ่นอีกแห่งหนึ่งคือทากุกิน
ซึ่งเสนอเข้าบริหารการเงินในกิจการเดินเรือของเอเวอร์กรีนบางส่วนในปี 1982
และยังจัดสรรวงเงินกู้ยืมระยะกลาง กับรับประกันให้การสนับสนุนทางการเงินเพื่อซื้อเรือบรรทุกสินค้าเพิ่มเติมอีก
6 ลำด้วย ปีถัดมาก็ได้จัดสรรวงเงินซื้อเรือบรรทุกสินค้าเพิ่มอีก 27 ล้านดอลลาร์
จนที่สุดมากุกินจึงกลายเป็นธนาคาร ที่ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เอเวอร์กรีนอย่างเป็น
ทางการ
แต่สิ่งที่สร้างความงุนงงให้กับผู้เฝ้าสังเกตการณ์ อยู่ก็คือว่า เอเวอร์กรีนไม่เคยยอมเปิดเผยแหล่งระดมเงินทุนเพื่อขยายกิจการของตนนับจากปี
1982 จนถึงปี 1986 เอเวอร์กรีน สามารถเพิ่มทุนดำเนินงานได้ถึง 14 เท่าหรือจาก
400 ล้านดอลลาร์ไต้หวันเป็น 5,500 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน โดยที่เอเวอร์กรีนได้แต่อ้างอิงแหล่งเงินทุนสำคัญของตนว่าคือ
"เอเวอร์กรีน อินเตอร์เนชั่นแนล" อันเป็นบริษัทแม่และจดทะเบียนในปานามา
มีครอบครัวของชางถือหุ้นอยู่ 100% เท่านั้น
และที่น่าสงสัยยิ่งขึ้นก็คือ ปี 1986 เอเวอร์กรีนเป็นกิจการทำกำไรถึง 58
ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากกว้านซื้อเรือบรรทุกสินค้าไว้ 24 ลำเป็นมูลค่า 600
ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งที่ช่วงกลางทศวรรษ 1980 นั้นอุตสาหกรรมเดินเรือบรรทุกสินค้าทั้งระบบทรุดดิ่งลงจากการแข่งขันสูงและมีบริษัทกระโจนเข้ามาทำธุรกิจประเภทนี้มากเกินไป
จนหลายบริษัทต้องพับฐานไป "ยู.เอส.ไลน์" ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือชั้นนำของสหรัฐฯ
ถึงกับถูกฟ้องล้มละลาย ขณะที่ "ซีแบนด์." ที่ก่อตั้งโดยมัลคอม
แม็คลีน. "บิดาแห่งการเดินเรือบรรทุกสินค้า" ก็พบกับภาวะขาดทุนอย่างมหาศาล
เหล่านี้ล้วนแต่สวนทางกับเอเวอร์กรีนที่เติบโตอย่างพุ่งพรวดจนวงการต่างประหลาดใจไปตาม
ๆ กัน
ชางนั้นตั้งเป้าหมายให้กิจการเอเวอร์กรีนสามารถให้บริการขนส่งสินค้าได้ในทั่วโลก
แม้ว่าคู่แข่งหรือผู้ที่อยู่ในวงการจะเห็นว่า ความฝันตรงนี้ของชางอาจทำให้กิจการของเขาถึงคราวล่มสลายเสียมากกว่าแต่ด้วยยุทธวิธีทุ่มลงทุนต่อเรือ
เสนอบริการใหม่ ๆ และตัดราคาคู่แข่ง ปัจจุบันเอเวอร์ กรีนจึงมีโรงงานผลิตตู้คอนเทนเนอร์ป้อนบริษัทตัวเองและบริษัทลูกค้า
ในแง่การขายก็มีสำนักงานขายใน 70 ประเทศทั่วโลกโดยเฉพาะในเส้นทางมหาสมุทรแปซิฟิก
อันเป็นเส้นทางเดินเรือบรรทุกสินค้าใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งสามารถให้บริการเดินเรือสินค้าในทั่วโลกได้ตั้งแต่ปี
1984 โดยการเชื่อมประสานการทำงานของเรือในน่านน้ำต่าง ๆ จนรอบโลก
เอเวอร์กรีนยังมีจุดเด่นตรงความสะดวกรวดเร็ว เพราะเรือทุกลำสื่อสารกับสำนักงานภาคพื้นดินผ่านดาวเทียม
หรือไม่ก็ทางเครื่องโทรสาร อีกทั้งดำเนินธุรกิจด้วยต้นทุนต่ำ เพราะใช้อุปกรณ์ทันสมัยล้ำหน้าคู่แข่ง
จึงเสียเงินจ้างพนักงานน้อยกว่าสายการเดินเรืออื่น ๆ
กองเรือบรรทุกสินค้าของเอเวอร์กรีนทุกลำตั้งชื่อให้นำหน้าด้วยคำว่า "เอเวอร์"
ทั้งหมด เช่น เอเวอร์การ์ด, เอเวอร์โกอิ้ง, เอเวอร์กลอรี่, เอเวอร์โกลเด้น,
เอเวอร์ไชน์ ฯลฯ นอกจากนั้นตู้บรรทุกสินค้าของเอเวอร์กรีนทุกตู้ยังทาสีเขียวสดทั้งหมด
และหมายรวมถึงอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ในไทเป เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้สำนักงาน
หรือแม้แต่เครื่องแบบพนักงานหญิงก็เป็น "สีเขียว" ทั้งสิ้น
นอกเหนือจากธุรกิจเดินเรือบรรทุกสินค้าแล้วกิจการในส่วนอื่น ๆ ก็มี "เอเวอร์มาส
เตอร์" และ "เอเวอร์เซฟตี้" อันเป็นจุดขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์ในไต้หวัน
"เอเวอร์ กลอรี่ ทรานสปอร์ต" ที่ทำกิจการรถบรรทุก, "เอเวอร์ลอเรล"
...บริษัทการค้าระหว่างประเทศในญี่ปุ่น, "เอเวอร์จีเนียส"...บริษัทซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์
และล่าสุดก็กำลังเตรียมการเข้าสู่ธุรกิจการบิน โดยตั้งสายการบินอีวา แอร์เวย์ขึ้น
(อ่านรายละเอียดในล้อมกรอบ)
ชางมีนโยบายขยายแนวธุรกิจของเขาออกไปอีกโดยเฉพาะด้านโรงแรมและการขนส่งภาคพื้นดิน
"ธุรกิจเดินเรือมีข้อจำกัดสูงมาก ตอนนี้เราอาจมาถึงขีดจำกัดของมันแล้วด้วยซ้ำ"
เขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อปี 1986 และจุดนี้เองที่ช่วยไขปริศนาได้ว่าทำไปเอเวอร์กรีนจึงพลิกจังหวะก้าวของตนเองเข้าสู่ธุรกิจการบินและธุรกิจโรงแรม
ปัจจุบันเอเวอร์กรีนในไต้หวันเป็นบริษัทที่คนใฝ่ฝันอยากเข้าทำงานด้วย ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่จ่ายค่าจ้างสูงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ
เพราะสมาชิกจะมีความผูกพันกันแบบครอบครัวและมีความภักดีต่อองค์กรอย่างมาก
ถึงขนาดที่พนักงานรายหนึ่งชี้ว่า "คุณอาจจะเป็นคนโง่" แต่ขอให้มีความภักดีต่อบริษัทก็แล้วกัน
ซึ่งก็เข้ากับนโยบายของบริษัท ที่เน้นการฝึกและสร้างคนขึ้นมาเองมากกว่าที่จะซื้อตัวจากบริษัทอื่น