Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2533








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2533
"ลดภาษีนำเข้าเครื่องจักร 5% เป็นการหนุนนักลงทุนมากขึ้น แต่มีข้อเสียหลายอย่าง"             
 


   
search resources

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน - บีโอไอ
Import-Export
Law




เมื่อรัฐบาลลดภาษีนำเข้าเครื่องจักรลงเหลือเพียง 5% จะทำให้บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอน้อยลง เพราะที่ผ่านมาถ้าได้บีโอไอจะได้ยกเว้นภาษีหรือเสียภาษีนำเข้าเครื่องจักรเพียงครึ่งเดียวแล้วแต่ละกรณี ขณะที่บริษัทไม่ได้รับการส่งเสริม จะต้องเสียภาษีนำเข้าเครื่องจักรเต็มอัตรา

การออกมาตรการใหม่ครั้งนี้จึงเป็นการลดความต่างในภาระของนักลงทุน...!

ผลกระทบจะมีทั้งส่วนดีส่วนเสีย ผลดีก็คือ ทำให้ไทยไม่เป็นที่ครหาของต่างชาติ เช่น สหรัฐฯ ว่าไทยอุดหนุนอุตสาหกรรมที่ได้บีโอไอ

แต่โดยส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยในมาตรการครั้งนี้ เนื่องจากมีผลเสียที่น่าเป็นห่วง การลดภาษีนำเข้าเครื่องจักร โดยไม่ได้ลดภาษีสินค้าสำเร็จรูปเท่ากับเป็นการคุ้มครองผู้ผลิตมากขึ้นกว่าเดิม

เนื่องจากภาษีสินค้าสำเร็จรูปจะต้องเสียในอัตรา 40-60 ซึ่งสูงที่สุด หมายความว่าต้นทุนของผู้ผลิตน้อยลง แต่ขายสินค้าราคาเท่าเดิม ประชาชนจึงต้องรับภาระราคาสินค้าไป

จากกรณีนี้ คิดว่ารัฐบาลน่าจะหาทางนำไปสู่การลดภาษีสินค้าสำเร็จรูปอยู่ แต่คงช้า เนื่องจากการปรับโครงสร้างภาษีนั้นเป็นเรื่องยาก พอจะทำเข้าจริงก็มีคน LOBBY กันมาก

ประการสำคัญ เรากำลังพัฒนาอุตสาหกรรมขั้นกลาง โดยเฉพาะเครื่องจักรอุปกรณ์ ต่าง ๆ เมื่อลดภาษีครั้งนี้ จะกระทบต่ออุตสาหกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งบางอย่างเราเริ่มที่จะผลิตได้ ถ้าไม่มีการลดภาษี อุตสาหกรรมของเราก็อยู่ได้ แต่พอลดภาษีนี้ลงมา อุตสาหกรรมโดยคนไทยจะพัฒนาได้ยาก ทำให้ "สินค้าทุน" เกิดลำบาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล โลหะ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องจักรโดยรวม

การลดภาษีนำเข้าเครื่องจักรโดยไม่ได้ลดภาษีสินค้าสำเร็จรูปทั้งที่ควรจะทำนั้น ไม่เพียงแต่เป็นการคุ้มครองนักลงทุนเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ส่งผลทำให้มีการใช้เครื่องจักรมากกว่า ที่ควรจะเป็นตามปัจจัยการผลิต

เช่น การใช้แรงงานทดแทนที่มีอยู่ในบางส่วนจะหันไปใช้เครื่องจักรมากขึ้น เพราะ มีราคาถูก การใช้แรงงานก็น้อยลง สำหรับเมืองไทยคิดว่ายังไม่เหมาะ

อีกแง่หนึ่ง จะกระทบดุลการค้า จากการนำเข้าเครื่องจักรที่อาจจะเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการยืดหยุ่นของอุปสงค์ของเครื่องจักร

ถ้ามีความยืดหยุ่นของราคาสูง คนนำเข้าก็มาก จะขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น ถ้ารวมเครื่องจักรไฟฟ้าแล้วเป็นหมื่นล้านบาทต่อปี รายได้ภาษีก็จะหายไปไม่มาก

แต่ถ้าเครื่องจักรราคาสูง นำเข้าน้อย การขาดดุลน้อย รายได้ภาษีจะหดหายไปมาก

ส่วนที่ห่วงเรื่องรายได้ภาษีของรัฐบาลจะลดลงและจะกระทบต่อเงินคงคลังของรัฐบาลนั้น จากการประเมินของรัฐบาลที่ว่าจะลดไปราว 5,000 ล้านบาทนั้น ขึ้นอยู่ว่าหากนำเข้าเครื่องจักรมากแม้จะเสียภาษีน้อยลง รายได้จะไม่ลดมาก แต่อาจจะเพิ่มกว่าที่ประมาณการไว้ด้วยซ้ำไป ทว่าจะขาดดุล

พร้อมกันนั้น ยังมองกันว่า หากรัฐบาลต้องตรึงราคาขายปลีกน้ำมัน โดยนำเงินภาษีสรรพสามิตมาชดเชย ก็ยิ่งจะทำให้รายได้ของรัฐลดไปนั้น คงเป็นชั่วระยะหนึ่ง...นี่เป็นตัวอย่างที่ผมอยากยกขึ้นมาเปรียบเทียบ

ที่จริง ไม่ควรทำ แต่ควรปล่อยให้ราคาน้ำมันเป็นไปตามตลาด ด้วยการปรับเพดานอัตราการปรับราคาน้ำมันมากกว่าครั้งละ 30 สตางค์ ด้วยเหตุว่า สูตรการปรับราคาน้ำมันตามเพดานกองทุนน้ำมันนั้น เหมาะที่จะใช้ในสถานการณ์ปกติ แต่ในภาวการณ์อย่างนี้ ควรจะต้องปรับใหม่

การขึ้นราคาน้ำมันเป็นวิธีประหยัดพลังงานที่ดีที่สุด แต่แน่นออนว่าทำให้ประชาชนเดือดร้อน เงินเฟ้อ นั่นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องหามาตรการมาแก้ไข

ประการสำคัญ ผมอยากจะเน้นว่าการขึ้นราคาน้ำมันขายปลีก 30 สตางค์ก็ดีหรือการลดอากรขาเข้าเครื่องจักร 5% ก็ดี ที่ผ่านมาเราไม่ได้ใช้อากรขาเข้าเป็นเครื่องมือหารายได้เข้ารัฐ แต่ใช้เป็นเครื่องมือคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศมากกว่า

นโยบายครั้งนี้ ส่วนตัวแล้วคิดว่าไม่น่าจะถูกต้อง ดูเหมือนว่าไม่ได้มีการศึกษากันอย่างจริงจังว่า เมื่อประกาศใช้แล้วจะกระทบต่ออุตสาหกรรมจักรกลในประเทศแค่ไหน ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมจักรกล (ถึงขนาดตั้งสถาบันเครื่องจักรกลขึ้นมา)

ถ้าจะบอกว่าเพื่อกระตุ้นการพัฒนาเครื่องจักรและเทคโนโลยีก็ควรจะดูเป็น SECTOR ไป การพูดรวมอย่างนี้ แม้จะระบุเฉพาะอัตรา 84 และ 85 ที่ครอบคลุมเครื่องจักรนิวเคลียร์ ไฟฟ้า เครื่องจักรกล เครื่องจักรเกษตร ก็ยังกว้าง กลายเป็นการเพิ่มการอุดหนุนอุตสาหกรรมไป

ทั้งที่ทุกครั้ง เรามักจะพูดเสมอว่า อุตสาหกรรมไทยยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรเนื่องจากได้รับการคุ้มครองด้านภาษีมากเกินไป การอุดหนุนสูงขึ้นจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการผลิต

การที่เรามี UNIFORM อย่างนี้ เวลาปฏิบัติก็พิจารณาง่าย แต่ไม่สามารถส่งเสริมอุต-สาหกรรมในจุดที่เราต้องการส่งเสริมจริง ๆ เพราะเครื่องจักรบางอย่างเราผลิตและพัฒนาเอง ไม่ได้ในระยะสั้น เช่นเครื่องจักรสิ่งทอบางอย่าง แต่มีหลายอย่างที่เราเริ่มผลิตได้เอง

การที่อยู่ดี ๆ แล้วไปลดภาษีโดยไม่ศึกษา ทำให้ส่งผลกระทบดังกล่าว...!

ถ้าจะอ้างว่าลดภาษีนำเข้าเครื่องจักรเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการย้ายไปลงทุนในต่างจังหวัดนั้น ไม่สมเหตุสมผล เพราะบริษัทที่ได้บีโอไอส่วนใหญ่จะตั้งโรงงานในกรุงเทพฯ หรือปริมณฑลรอบ ๆ พอบีโอไอประกาศไม่ส่งเสริมในเขตเหล่านี้ เขาก็จะย้ายไปลงทุนในจังหวัดใหญ่ ที่มีความพร้อมด้านสาธารณูปโภคและวัตถุดิบ

การส่งเสริมให้นักลงทุนออกต่างจังหวัด เงื่อนไขสำคัญอยู่ที่ความพร้อมของปัจจัยแวดล้อมเป็นหลัก เรื่องภาษีนั้นเป็นเหตุผลรอง ขณะที่ผู้ลงทุนในต่างจังหวัดส่วนใหญ่ไม่ได้บีโอไอ โดยเฉพาะขนาดกลางและขนาดเล็ก

การกระตุ้นการลงทุนอุตสาหกรรมในท้องถิ่นที่ถูกต้องนั้น ไม่ใช่ดึงคนในกรุงเทพฯ หรือต่างประเทศเข้าไป แต่ตัวหลักจะต้องอยู่ที่ผู้ประกอบการท้องถิ่นเป็นสำคัญ ด้วยการสร้างปัจจัยให้เขาลงทุนตั้งหรือขยายโรงงานที่นั่น ส่วนการดึงคนนอกท้องถิ่นนั้นควรเป็นหนทาง สุดท้าย

นอกจากนี้ มาตรการลดภาษีที่ประกาศออกมาทำให้แนวนโยบายที่จะส่งเสริมเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงพลอยไม่เป็นผลไปด้วย

จากที่เคยคิดว่าถ้าเครื่องจักรโรงงานชิ้นใดที่ใช้เชื้อเพลิงน้อยแล้วให้ประสิทธิภาพการผลิตดีนั้น ควรจะสนับสนุนเป็นพิเศษ เพราะเท่ากับเป็นการลดต้นทุนการผลิตและประหยัด น้ำมัน ซึ่งส่วนใหญ่เรายังต้องนำเข้าจากต่างประเทศแทบทั้งหมด

มาตรการนี้ทำให้เครื่องจักรไม่ว่าจะประหยัดหรือไม่ประหยัดเชื้อเพลิงอยู่ในอัตราภาษีเดียวกัน จึงไม่มีแรงจูงใจ ครั้นจะลดภาษีลงไปอีกก็เป็นไปได้ยาก เนื่องจากอัตราภาษีขนาดนี้ถือว่าต่ำมากแล้ว

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับบีโอไอโดยตรง ดังนั้นเป็นหน้าที่ของบีโอไอที่จะสนับสนุนเครื่องจักรที่ช่วยประหยัดน้ำมันให้มากขึ้น รัฐบาลเองก็จะต้องมีนโยบายชัดเจนและรณรงค์อย่างจริงจัง

ส่วนบทบาทของบีโอไอนั้น เมื่อมีการลดภาษีนำเข้าเครื่องจักรแล้ว ทำให้ดูเหมือนว่า บีโอไอหมดความสำคัญไป...!

อันที่จริง อยากเห็นบีโอไอให้สิทธิประโยชน์ให้น้อยลง แล้วมาให้ข้อมูลข่าวสาร อำนวยความสะดวก ติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ แก่นักลงทุน ซึ่งจะดีกว่าการ ให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีแล้วไม่ได้ผลเท่าที่ควร

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ได้บีโอไอกับไม่ได้บีโอไอก็ยังมีความได้เปรียบต่างกันอยู่ดี แต่น้อยลง คือรายที่ได้บีโอไอนั้นจะได้รับยกเว้น หรือลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบและภาษีเงินได้ ส่วนรายที่ไม่ได้รับการส่งเสริมจะไม่ได้สิทธิประโยชน์ส่วนนี้

มาตรการลดภาษีครั้งนี้ น่าที่จะเป็นแรงผลักดันให้บีโอไอปรับบทบาทของตัวเอง ดังที่พูดไปแล้ว เพราะโดยทิศทางของการพัฒนานั้น เราเน้นและยืนยันหลักการอยู่เสมอว่าจะพยายามลดการอุดหนุนให้น้อยลง แต่พอจะทำ ผู้ได้รับผลกระทบก็มักจะร้องเรียนเนื่องจาก เป็นกลุ่มที่มีอำนาจต่อรองได้มากกว่า

มิฉะนั้นแล้ว ผู้ส่งออกได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ต่ำลง ผู้ผลิตภายในก็ได้ประโยชน์โดยยังขายสินค้าราคาเท่าเดิม ซึ่งเท่ากับมีราคาสูงขึ้นในเมื่อต้นทุนถูกลง ผู้บริโภคจึงต้องรับภาระทุกสถานการณ์

บีโอไอจึงต้องเน้นบทบาทในการพัฒนาอุตสาหกรรมโดยพิจารณาจากผลกระทบต่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก...!

เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมา ไทยมีนักลงทุนในลักษณะ FREE RAIDER ค่อนข้างมาก มีการใช้ทรัพยากรโดยไม่ต้องชดเชยค่าเสียหาย

ถ้าอุตสาหกรรมขยายตัวน้อยลงสัก 3-5% แล้วทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นย่อมดีกว่าให้ อุตสาหกรรมโตมหาศาล แล้วต้องสูญเสียคุณค่าสิ่งแวดล้อมที่ดีไป

ขณะเดียวกัน ไม่มีความจำเป็นที่ประชาชนจะต้องไปแบกรับภาระในการสร้างสาธารณูปโภคเพื่อโหมการลงทุนอย่างหนัก เพราะนั่นเป็นการลงทุนของประชาชน แต่ นักลงทุนได้ประโยชน์

ประเด็นนี้เป็นปัญหามาก แต่เราไม่ค่อยได้สนใจกัน

จึงเป็นจังหวะที่บีโอไอควรหันมาให้สร้างแรงกระตุ้นและจิตสำนึกให้นักลงทุนใส่ใจต่อสังคมมากขึ้น...!

ดร. สมศักดิ์ แต้มบุญเลิศชัย

ประวัติ

ปัจจุบัน อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

อายุ 48 ปี

การศึกษา ปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโทและเอกด้านเศรษฐศาสตร์จาก DUKE UNIVERSITY

ประสบการณ์ เคยเป็นคณะเจ้าหน้าที่กำหนดมาตรการทางเศรษฐกิจหลังลดค่าเงินบาท กรรมการด้านกฎหมายลงทุน ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรม กรรมการด้านวิชาการของสภาวิจัยแห่งชาติ และ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สมัยดำรง ลัทธพิพัฒน์

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us