บางคนกล่าวว่ากลุ่มผู้ค้าหลอดไฟในกงสีฟิลิปส์คือกลุ่มผู้ค้าผูกขาดในตลาดหลอดไฟ
เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นตัวแทนจำหน่ายหลอดไฟของหลาย ๆ ยี่ห้อแล้ว ยังร่วมกันทำธุรกิจผลิตหลอดไฟเข้าแข่งขันในตลาดอีกด้วย
หากจะแบ่งประเภทของโรงงานผลิตหลอดไฟฟ้าในประเทศไทย อาจแบ่งออกได้เป็น 2
กลุ่มคือ… กลุ่มโรงงานผลิตหลอดฟลูออเรสเซ็นต์ มีบริษัทไทยโตชิบ้า ไลท์ติ้ง,
บริษัทหลอดไฟฟ้าไทย, บริษัท ล.กิจเจริญแสง ซึ่งรับจ้างผลิตให้กับหลายยี่ห้ออย่างเช่นไดอิชิ
ฮิตาชิ ฯลฯ, บริษัทเอเชีย แลมป์ผลิตให้กับยี่ห้อคอมตัน และส่งออกบางส่วน,
บริษัทเอส อี ไอ อินเตอร์เนชั่นแนลผลิตให้กับยี่ห้อแลมตัน, NEC
อีกกลุ่มเป็นโรงงานผลิตหลอดไฟธรรมดา มีบริษัทหลอดไฟฟ้าไทยของฟิลิปส์, บริษัท
บางกอกแลมป์ผลิตยี่ห้อซูเปอร์แลมป์, และบริษัท ล. กิจเจริญแสง ซึ่งผลิตให้หลายยี่ห้ออย่างเช่นจูปีเตอร์,
ไดอิชิ
การเกิดของบางกอกแลมป์ในปี 2507 ด้วยวัตถุประสงค์ที่ว่าเพื่อผลิตหลอดไฟฟ้ายี่ห้อ
"ซูเปอร์แลมป์" ขายในประเทศทดแทนการนำเข้า โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอสมัยนั้นถูกจับตามองจากฟิลิปส์ค่อนข้างมาก
เนื่องจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่จำนวนหนึ่งเป็นสมาชิกอยู่ในกงสี
เช่นเดียวกับการเกิดของบริษัททังสยามซึ่งเป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายหลอดไฟยี่ห้อ
"ทังสแลมป์" เมื่อปลายปี 2532 ที่ผู้ถือหุ้นส่วนหนึ่งของบริษัทเป็นสมาชิกอยู่ในกงสี
และบางคนก็ยังเป็นหุ้นส่วนของทั้ง 2 บริษัทฯ อีกด้วย
ทองมินทร์ กิจจาธิป กรรมการผู้จัดการของ บริษัท ทังสยามซึ่งอดีตเคยเป็นผู้จัดการการตลาดกลุ่มกิจการไฟฟ้าของฟิลิปส์
และเกษียณอายุการทำงานมาเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วได้อธิบายให้ฟังว่า "การทำธุรกิจไม่จำเป็นที่เราจะต้องฆ่าคู่ต่อสู้ของเราทั้งหมด
เพราะถ้าเรา ฆ่าเขาวันนี้ได้ วันหลังเขาก็จะแว้งกัดเราได้เช่นกัน มันเป็นนโยบายตั้งแต่ตอนที่ผมทำงานกับ
ฟิลิปส์ และถ้าเราดูสภาพความเป็นจริงของตลาดหลอดไฟแล้ว มันถูกแบ่งด้วยตัวของมันเองโดยมีเรื่องของราคาเป็นตัวกำหนด
ในขณะที่สินค้าของฟิลิปส์แทบทุกตัวจะวางไว้ในตำแหน่งที่ค่อนข้างสูง ทำให้เกิดช่องว่างในตลาดที่คู่แข่งสามารถแทรกได้
แต่ถ้าจะให้ฟิลิปส์ลงมาทำสินค้าที่ราคาถูกลงมาเพื่อสู้กับตลาดล่างฟิลิปส์เองก็คงทำไม่ได้
ดังนั้นการที่สมาชิกของกงสีผลิตสินค้าในระดับราคาที่ต่ำกว่าเข้าตลาด น่าจะเป็นการช่วยเสริมตลาดของฟิลิปส์ให้เต็มและเป็นการกันคู่ต่อสู้ในตลาดให้กับฟิลิปส์ได้ด้วย"
ซูเปอร์แลมป์เข้าตลาดหลอดไฟธรรมดาด้วยราคา 10-12 บาทในขณะที่ฟิลิปส์ราคา
12-14 บาทด้วยกำลังวัตต์ที่เท่ากัน เช่นเดียวกับทังสแลมป์ที่เข้าตลาดหลอดฟลูออเรสเซ็นต์ในราคา
38, 45 บาทในขณะที่ฟิลิปส์ราคา 42, 50 บาทและคู่แข่งรายอื่นคือโตชิบาราคา
36, 41 บาท ฮิตาชิกับ EC ราคา 35, 40 บาทหากเปรียบเทียบราคากันแล้วจะเห็นว่ามันมีช่องว่างของตลาดอยู่
การเติบโตของโตชิบาในตลาดหลอดไฟนีออนช่วงไม่กี่ปีมานี้ก็เป็นอีกกรณีหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงช่องว่างของตลาดนี้
แต่เดิมตลาดในส่วนที่โตชิบาครอบครองอยู่เป็นตลาดส่วนกลางลงล่าง ซึ่งเป็นตลาดของโรงงานผู้ผลิตในประเทศในช่วง
6-7 ปีที่ผ่านมาตลาดต่างประเทศเกิดบูมขึ้นมาผู้ผลิตในประเทศหลายรายต่างหันไปจับตลาดต่างประเทศ
ทิ้งช่องว่างตลาดในส่วนนี้ไว้ให้กับโตชิบา ในขณะเดียวกันการใช้กลยุทธ์ทางด้านราคาสู้ก็ทำให้โตชิบามีจุดเด่นที่สามารถจับตลาดส่วนกลางนี้ไว้ได้
ข้อที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งในตลาดหลอดไฟในประเทศไทยก็คือ ส่วนมากจะออกมาในรูปของการจ้างโรงงานภายในประเทศเป็นผู้ผลิตให้
(มีเพียงฟิลิปส์,โตชิบา, ซูเปอร์แลมป์ ที่มีโรงงานผลิตโดยใช้ชื่อยี่ห้อของตนเอง)
หรือไม่ก็สั่งนำเข้าจากต่างประเทศ ด้วยเหตุผลที่ว่าการลงทุนตั้งโรงงานผลิตหลอดไฟเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างสูง
เมื่อเทียบกับกำไรที่ได้จากการขาย ดังนั้นการเข้าของหลอดไฟรายใหม่ ๆ จึงเป็นการเปิดโอกาสให้โรงงานผู้ผลิตในประเทศที่เปิดดำเนินการมากว่า
20 ปีขยายกำลังการผลิตออกไป อย่างเช่นกรณีของบางกอกแลมป์ที่กำลังเสนอขออนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอในการสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่มูลค่า
20 ล้านบาทจากฮังการี เพื่อนำมาขยายกำลังการผลิตเพื่อการส่งออกส่วนหนึ่ง
และอีกส่วนหนึ่งนัยว่าเป็นการรองรับการผลิตจากตัวแทนจำหน่ายสินค้ารายใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างทังสแลมป์
เป็นต้น
และนอกจากนี้ความที่บริษัทฟิลิปส์เป็นบริษัทใหญ่ มีเงินทุนมากพอที่จะทำการตลาดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
บวกกับความแข็งแกร่งของชื่อยี่ห้อที่มีมานานในตลาดของหลอดไฟ ฟิลิปส์ ทำให้คู่แข่งรายอื่นไม่กล้าที่จะนำสินค้าของตนเองเข้าประกบตลาดในระดับเดียวกับ
ฟิลิปส์ถึงแม้ว่าหลายรายจะยืนยันว่าเทคโนโลยีการผลิตของตนจะทำให้คุณภาพของสินค้าที่ได้ออกมาไม่แตกต่างจากฟิลิปส์มากนัก