งานทวี บุญสูง อุปัติศฤงค์ และวานิช ตระกูลนายเหมืองชาวจีนฮกเกี้ยนเก่าแก่เหล่านี้
ร่ำรวยด้วยสินทรัพย์ไม่น้อยกว่าพันล้านและผ่านกระบวนการสั่งสมทุนจากการทำเหมืองแร่
ชั่วอายุคนหนึ่งสู่อีกชั่วอายุคนหนึ่ง ความแข็งแกร่งของทุนมากขึ้นตามอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจท้องถิ่น
โดยเฉพาะการขยายตัวของอุตสาหกรรมเหมืองแร่
บ่อเกิดความมั่งคั่งมาจากทรัพยากรในดินคือ สินแร่ดีบุกที่ใช้แล้วก็หมดไป
แต่สร้างฐานะความเป็นปึกแผ่นและชื่อเสียงสู่เจ้าของเหมืองแร่ นอกจากนี้ความเป็นเจ้าของที่ถือครอง
ที่ดินรายใหญ่จากการเป็นเจ้าของสวนยาง สวนปาล์มและสวนมะพร้าว ก็ยังทำให้สินทรัพย์
ของนายเหมืองตระกูลต่าง ๆ ในปัจจุบันทบทวีคูณนับร้อยเท่าของมูลค่าเดิม
แม้กระนั้นการรักษามรดกที่ตกทอดจากบรรพบุรุษสู่รุ่นลูกหลาน ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถของคนรุ่นที่สามของตระกูลเพราะโครงสร้างเศรษฐกิจ
สังคมและการเมือง ที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงรวดเร็วยิ่งกว่าที่บรรพบุรุษเคยเป็นมา
รุ่นลูกหลานที่เด่น ๆ ของแต่ละตระกูลอาทิ ศิวะแห่งงานทวี อาทรแห่งบุญสูง
บันลือแห่งตันติวิท ภูมิศักดิ์แห่งหงษ์หยก วิจิตรแห่งตระกูล ณ ระนอง ไพบูลย์แห่งอุปัติศฤงค์
อังคณาแห่ง วานิชเป็นต้น บุคคลเหล่านี้เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสานต่อและพัฒนาการลงทุนที่แตกแขนงไป
หลังจากมีการหดตัวของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในปลายปี 2528 เป็นต้นมา
ตลอดช่วงปี 2530 เป็นต้นมา การขยายตัวของเศรษฐกิจภูเก็ตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพระ
อุปสงค์ต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการเพิ่มขึ้นตลอดเวลา การลงทุนของตระกูลต่าง
ๆได้มีทิศทางไปในทางเดียวกัน คือการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นโรงแรม อาคารพาณิชย์และธุรกิจการค้าการบริการเช่นตัวแทนขายรถยนต์และปั๊มบริการน้ำมัน
ซึ่งเป็นการประยุกต์การลงทุนของตนให้สอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล
"งานทวี" ถือได้ว่าเป็นตระกูลที่สามารถปรับตัวเองสู่ความเป็นนักอุตสาหกรรมชั้นนำได้ดี
เพราะมีทั้งความรู้ในเทคโนโลยีสมัยใหม่และการจัดการแบบครอบครัวที่มีประสิทธภาพ
อีกทั้งมีการระดมทุนด้วยวิธีการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ และมีการลงทุนซื้อลิขสิทธิ์เทคนิคการผลิตกับต่างประเทศเพื่อเรียนรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่
ทำให้กิจการของงานทวีพี่น้องแตกตัวออกจากกิจการเหมืองแร่ สวนยางไปสู่อุตสาหกรรมโรงงานถุงยางอนามัยที่ใช้เทคนิคการผลิตจากบริษัท
มาป้า (MAPA) แห่งเยอรมนีโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ผลิตแผงวงจรไฟฟ้าและระบบโทรศัพท์อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างเช่นบริษัททักษิณคอนกรีต
บริษัทไทยไวร์โปรดักส์ เป็นต้น
แต่อีกด้านหนึ่งตระกูลนี้ก็ยังช้าด้านการพัฒนาที่ดินเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ
แม้ว่าจะเป็นเจ้าของพื้นที่มากที่สุดในภูเก็ต
"คนตระกูลนี้เขาบอกว่าเรื่องอะไรที่จะเอาเงินก้อนใหญ่มาลงทุนแล้วเก็บทีละเล็กละน้อยเหมือนเบี้ยหัวแตก
สู้เอาเงินไปลงทุนในโครงการใหญ่ ๆ ทำเงินเป็นกอบเป็นกำเช่นสวนยางมิดีกว่าหรือ
ขนไปขายทีละ 10-20 ตันได้เงินมาเป็น 10-20 ล้านเวลาทำเหมืองแร่ก็เป็นแบบนี้
อันนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนภูเก็ตที่เคยเป็นนายเหมืองแล้วไม่ต้องการจะทำธุรกิจอื่น
จนกว่าจะจนแต้ม จริง ๆ อย่างคุณบันลือ ตันติวิท ที่เคยขายแร่ทีละเป็น 10
ล้านแล้วมาเก็บทีละร้อยละพันจากโรงแรม แกก็ไม่เอา แต่พอแกทำจริง ๆ มันบูม
แกก็บ่นว่าถ้ารู้ว่ามันดีอย่างนี้ทำนานแล้ว" แหล่งข่าวคนเก่าแก่ในภูเก็ตเล่าให้ฟัง
รากฐานดั้งเดิมของคนในต้นตระกูลงานทวี ทำเหมืองแร่ เรือขุด ทำสวนปาล์มและปลูกยางพารา
ผู้นำตระกูลคือปัญญา งานทวีเจ้าของร้าน "จิ้นเต็ก" ที่เริ่มต้นจากการรับซื้อเศษแร่
และร่ำรวยจากการรับเหมาส่งแร่ให้กองทัพญี่ปุ่นโดยตรงในช่วงสงครามเอเชียบูรพา
ปัจจุบันตระกูลงานทวีมีพี่น้อยทั้งสิ้น 47 คน โดยมีชัยกิจ งานทวีเป็นผู้สืบทอดกุมบังเหียนบริหารบริษัทงานทวีพี่น้องซึ่งมีทุนจดทะเบียน
98 ล้านบาทและบริษัทในเครือที่มีสาขากรุงเทพฯและต่างประเทศนับร้อยบริษัท
"การที่เรามีที่ดินที่ภูเก็ตมากก็คงมาจากแนวความคิดที่ว่าถ้าหากเอาเงินไปฝากธนาคารหลังสงครามเลิกใหม่
ๆ ก็คงได้ดอกเบี้ยไม่เท่าไหร่ ? สู้นำไปลงทุนด้านเหมืองแร่ดีบุกและซื้อที่ดินไม่ได้เวลานี้เรามีที่ดินที่ยังไม่ได้ทำอะไรที่ภูเก็ตอีกมาก
ที่ยังว่างเปล่าเป็นที่สวนมะพร้าวและยางพารา" ศิวะ งานทวีเล่าให้ฟัง
สำหรับในเมืองที่ดินผืนใหญ่และทำเลงามของงานทวีมีที่ถนนบางกอกจำนวน 30 ไร่ซึ่งสร้างรั้วและถมดินเรียบร้อยเพื่อสร้างโรงแรมชั้นหนึ่ง
ส่วนที่พัฒนาไปแล้วคือที่บริเวณแถวน้ำซึ่งโรงแรมซิตี้โฮเต็ลได้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี
2531 และได้ขายที่ดินที่ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้เนื้อที่ 7 ไร่เศษในราคาสูงร้อยกว่าล้านบาทซึ่งคุ้มกว่าที่จะนำมาจัดสรรเอง
นอกจากนี้ยังมีโครงการคอมเพล็กซ์ "ซิตี้ปาร์ค" ที่กำลังเปิดขายปีนี้ด้วย
การพัฒนาที่ดินทั้งหมดทำในนามบริษัทงานทวีทรัพย์สิน
อีกตระกูลหนึ่งที่มีที่ดินแถบชานเมืองมากแล้วหันมาลงทุนด้านนี้ก็คือตระกูล
"วานิช" ซึ่งมีอังคณา วานิชบุตารสาวคนที่สี่ของเอกพจน์ วานิชเป็นผู้บริหารโครงการใหญ่
"วานิชพลาซ่า" หลังจากที่เธอเคี่ยวกรำกับงานบริหารบริษัทยูนิวานิชทำโรงกลั่นน้ำมันปาล์มที่กระบี่
ซึ่งเป็นกิจการร่วมลงทุนระหว่างตระกูลวานิชกับบริษัทยูนิลีเวอร์
"เดิมที่ดินตรงนี้เป็นโรงงานยางรมควันสมัยคุณปู่แล้วถูกทิ้งไว้นาน
ดิฉันนึกเสียดายจึงคิดพัฒนาพื้นที่ 10 ไร่ซึ่งปัจจุบันราคาตารางวาละ 3-4
หมื่นบาทนี้ให้เป็น "วานิชพลาซ่า" โดยเราลงทุนทั้งสิ้น 200 ล้านบาททำเป็นคอมเพล็กซ์ซึ่งมีโรงแรมชั้นหนึ่ง
19 ชั้น 200 ยูนิต อาคารพาณิชย์และศูนย์การค้า จะเสร็จปี 2535 ซึ่งเราคิดว่าตลาดยังไปได้ใน
7-8 ปีข้างหน้านี้" อังคณา วานิช กรรมการผู้จัดการบริษัทวานิช ลีเนียลเล่าให้ฟัง
นอกจากนี้โครงการต่อไปที่อังคณาคิดจะทำคือโครงการบ้านจัดสรรที่อ่าวมะขามบนพื้นที่
26 ไร่ บ้านจัดสรรแบบนี้จะทำคล้ายวิลล่าที่มองเห็นทะเลโดยรอบเพื่อขายกลุ่มเศรษฐีกรุงเทพฯ
เป็นหลัก ในราคาหลังละ 5-6 ล้านบาท
ตระกูล "วานิช" นี้ต้นตระกูลคือเถ้าแก่เจียร วานิชซึ่งเป็นคนพังงาและเป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันขึ้นที่ภาคใต้เป็นคนแรก
เถ้าแก่เจียรมีลูกชายคนเดียวคือเอกพจน์ วานิชกิจการหลักของตระกูลนี้ได้แก่โรงกลั่นน้ำมันปาล์มสองแห่งคือบริษัทสยามปาล์มน้ำมันและอุตสาหกรรม
บริษัทไทยอุตสาหกรรมน้ำมันและสวนปาล์ม ที่กระบี่ ซึ่งในปัจจุบันนี้มีสวนปาล์ม
ประมาณ 40,000-50,000 ไร่ นอกจากนี้ยังมีเหมืองแร่ที่สุราษฎร์ บริษัทเจียรวานิช
บริษัท วานิชยิปซั่ม บริษัทภูเก็ตโรงงานยาง บริษัทภูเก็ตชิปปิ้งปักษ์ใต้ขนส่งทางทะเล
และยังมีการ ลงทุนทำโรงพยาบาลเอกชลที่จังหวัดชลบุรีด้วย รวมทั้งกิจการธุรกิจตัวแทนขายแร่ยิปซัมที่
ปีนังในนามบริษัทฮับยิปซั่มเอเยนซีและทำการค้าที่สิงคโปร์ด้วย
นับว่าเป็นการลงทุนกลุ่มใหญ่ตระกูลหนึ่งในภาคใต้ที่มีการพัฒนาการทำอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน
ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงจากอดีตสู่ปัจจุบัน !!
ขณะเดียวกันตระกูล "บุญสูง" ก็ประสบปัญหาการบริหารการจัดการแบบครอบครัวซึ่งความขัดแย้งของลูกหลานหลังมรณกรรมของจุติ
บุญสูง และทำให้กิจการในเครือกลับถดถอยจากความเป็นยักษ์ใหญ่ทางอุตสาหกรรมชั้นนำแห่งภาคใต้ในอดีตสมัยจุติ
บุญสูง ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีสายสัมพันธ์ทางการค้ากับญี่ปุ่นโดยเฉพาะในบริษัทอีซูซุมอเตอร์
(ประเทศไทย) และบริษัทตรีเพชรอีซูซุ
แต่ปัจจุบันกิจการในตระกูลบุญสูงมีการลงทุนในภูเก็ตกระจุกตัวในกิจการค้าในนามบริษัท
"จุติพาณิชย์" ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ "อีซูซุ"
ในเขตภูเก็ต ตรัง กระบี่ พังงาและนครศรี-ธรรมราช กิจการโรงแรมเจ.บี.โฮเต็ลที่หาดใหญ่
และกิจการเหมืองแร่ที่ยังคงมีอยู่คือบริษัทเรือขุดแร่จุติ เรือขุดแร่บุญสูง
นอกจากนี้ยังมีกิจการบ้านจัดสรร "หมู่บ้านบุญสูง" ด้วยและมีการถือหุ้นบ้างในอุตสาหกรรมอื่น
ๆ เช่นบริษัทไทยน้ำทิพย์ บริษัทจี เอส สตีล บริษัท เรโนล์ดอะลูมิเนียม
กิจการเหล่านี้มีลูกที่เกิดจากจุติ บุญสูงกับภรรยา 3 คนเป็นผู้ดูแล ผู้ที่มีบทบาทในช่วงเวลาที่ผ่านมามากคือไมตรี
บุญสูง ซึ่งเป็นอดีตนายกเทศมนตรีภูเก็ต แต่ต่อมาไมตรีได้เพลามือด้านการบริหารธุรกิจหันไปหาความสงบทางศาสนา
ขณะที่ประหยัด บุญสูงคุมกิจการเรือขุดแร่บุญสูงและกิจการในกรุงเทพฯ
ดังนั้นผู้บริหารที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคนสำคัญของกิจการในตระกูลนี้คืออาทร
ต้องวัฒนาซึ่งเป็นลูกเขยจุติ บุญสูง ปัจจุบันเป็นประธานหอการค้าจังหวัดภูเก็ต
และในปีนี้เองอาทรก็ได้ประกาศแยกตัวออกมาทำกิจการค้าส่วนตัวเองในนามบริษัทเอ.อาร์
ซึ่งค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าเนชั่นแนล และค้ารถมอเตอร์ไซค์ในลักษณะขายหรือให้เช่าซื้อและยังมีแผนกบริการท่องเที่ยวด้วย
"การแยกตัวของอาทรครั้งนี้มองได้หลายแง่ แต่ในสายตาผมว่าเขามีฝีมือคนเชื่อถือ
เขามากในทางธุรกิจและราชการถ้าเขาไม่มีฝีมือก็คงเป็นลูกเขยจุติไม่ได้ และการที่เขาแยกก็เป็นการเปิด
โอกาสให้น้องเมียด้วย" แหล่งข่าวกล่าว
อีกตระกูลหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ในด้านการถือครองที่ดินสวนยางนับหมื่นไร่ก็คือ
"อุปัติศฤงค์" ต้นตระกูลคือหงอฮั่นก๋วน พ่อม่ายจีนที่เติบใหญ่จากบริษัทไทยทองรับซื้อแร่ดีบุกและสวนยาง
หงอฮั่นก๋วนมีลูกชายคือซันเหล แซ่หงอ ต่อมาเปลี่ยนเป็นชื่อจเร อุปัติศฤงค์
กิจการเริ่มต้นจากร้าน "ซินฮ่องซุ่ย" ขายของชำเล็ก ๆ และเคยเปิดโรงเหล้ากะทู้ขายเหล้าขาวตรารวงข้าวแต่ปัจจุบันเลิกกิจการไปแล้ว
และขณะนี้ตระกูลอุปัติศฤงค์เติบใหญ่กลายเป็นตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ของเบียร์ตราสิงห์และรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในปัจจุบัน
การลงทุนของตระกูลจะมีสายสัมพันธ์ส่วนตัวแนบแน่นจากการแต่งงานกับตระกูลหงษ์หยก
ตันติวิทและจินดาพล เช่นในอดีตการร่วมลงทุนกับตระกูลตันติวิท ทำเหมืองในนามบริษัท
บ่วนหงวนตินไมนิ่ง และตั้งโรงงานยางแผ่นรมควันส่งออกนอกประเทศชื่อบริษัทภูเก็ตทองสินโดยมีจเรบริหาร
ส่วนบริษัทสหการอุตสาหกรรมและสวนยางก็เป็นกิจการที่ทายาทลูกสาวหงอฮั่นก๋วนชื่อเบญญาดูแลร่วมกับสามีอรัญ
จินดาพล
ในรุ่นที่สามของตระกูล นอกจากความเป็นปึกแผ่นของกิจการตัวแทนขายเบียร์รายใหญ่ในภูเก็ตแล้ว
การลงทุนในกิจการพัฒนาที่ดินในนามบริษัทยูไนเต็ด พร็อพเพอตี้ ก็เกิดขึ้นด้วยการทำบ้านจัดสรร
"ภูเก็ตวิลล่า" ขาย
นอกจากนี้ยังมีการลงทุนที่ร่วมกับจินดาพลและทุนต่างประเทศคือบริษัท MUREX
ในโครงการบลู แคนยอนซึ่งใช้เนื้อที่ 1,830 ไร่ทำบ้าน 135 หลัง คอนโดมิเนียม
4 ชั้นและสนามกอล์ฟขนาดมาตรฐานพร้อมสปอร์ตคลับซึ่งจะเสร็จในกลางปีหน้า
การที่ระบบเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเติบโตเช่นนี้ เปิดโอกาสให้ทุนท้องถิ่นที่สำคัญดังกล่าวสามารถขยายการลงทุนไปในภาคเศรษฐกิจสำคัญอื่น
ๆ ได้นอกเหนือจากการลงทุนที่กระจุกตัวอยู่แต่ในธุรกิจที่เป็นแกนหลัก เป็นหนทางที่จะทำให้ทุนท้องถิ่นเหล่านี้พร้อมที่จะ
ก้าวไปสู่ธุรกิจสมัยใหม่ต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับเงื่อนไขที่แท้จริงของเศรษฐกิจภาคใต้
!!