โครงการโรงกลั่นน้ำมันที่จะทำให้ 'ทีพีไอ' กลายเป็นยักษ์อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของโลกกำลังจะเป็นเพียงฝันที่สวยหรูหรือไม่
อีกไม่นานจะถึงบทสรุป โรงกลั่นน้ำมันที่จะเป็นโครงการพื้นฐานของปิโตรเคมีแบบครบวงจร
ตามที่ 'ประชัย เลี่ยวไพรัตน์' หวังไว้ กำลังจะทำให้ทีพีไอเข้าตาจน เมื่อพยายามเบี่ยงเบนประเด็นเรื่องค่าต๋งว่าไม่เป็นธรรม
ทั้งที่ตนเองไม่พร้อมเสียมากกว่า ที่สำคัญเกมตรั้งนี้ อีกฝ่ายกำลังเล่นไม่เลิก
จำได้ว่าภาพความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรทีพีไอ โดดเด่นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
เมื่อประชัย เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ประกาศอย่างเป็นทางการถึงโครงการปิโตรเคมีครบวงจร
มูลค่าลงทุนสูงถึง 4 หมื่นล้านบาท
การแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นเมื่อ 6 ตุลาคม 2537 เป็นการพูดถึงรายละเอียดโครงการเป็นครั้งแรกนับจากเริ่มมีกระแสข่าวออกมาเกือบหนึ่งปีเต็ม
การประกาศถึงโครงการใหญ่โตครั้งนั้น เกิดขึ้นพร้อมกับแผนการนำบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย
จำกัด (มหาชน) หรือทีพีไอ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของอาราจักรแห่งนี้ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ซึ่งแน่นอนว่าโครงการที่ประกาศออกไปเช่นนั้น ได้สร้างภาพสวยให้กับบริษัทที่กำลังจะเข้าตลาดฯ
อย่างทีพีไอ อีกมากโขทีเดียว
หลักๆ ของโครงการครบวงจรนี้ ได้ถูกแบ่งเป็นสองส่วน โรงกลั่นน้ำมัน โรงผลิตน้ำมันหล่อลื่นจะรวมอยุ่ในโครงการส่วนที่หนึ่ง
โดยนอกจากผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ได้จากการกลั่นแล้ว จะมีวัตถุดิบที่เกิดจากการกลั่นส่งตรงไปยังโรงโอเลฟินส์
ในโครงการส่วนที่สองด้วย สำหรับเงินลงทุนในส่วนที่หนึ่งนี้คาดจะใช้เงินลงทุนราว
20,000 ล้านบาทเศษ
โครงการส่วนที่สอง จะเริ่มตั้งแต่โรงโอเลฟินส์ จนถึงโรงงานผลิตเม็ดพลาสติก
โพลีเอทธีลีนชนิดความหนาแน่นสูง (HDPE) และชนิดความหนาแน่นต่ำ (LDPE) ซึ่งถือเป็นขั้นปลายของโครงการปิโตรเคมีครบวงจรนี้
โครงการระยะที่สองนี้จะใช้เงินลงทุนเกือบ 20,000 ล้านบาท
แหล่งที่มาของเงินทุนของโครงการนี้ได้มีการชี้แจงว่าจะมาจากส่วนของเงินเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นเดิมเมื่อ
15 สิงหาคม 2538 จำนวน 6,665 ล้านบาท และเงินจากการขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนจำนวนราว
9,000 ล้านบาท ที่เหลือราว 25,000 ล้านบาท จะเป็นเงินกู้ระยะยาวและเงินกู้หมุนเวียน
ครั้งนั้นผู้อยู่ในวงการมองกันว่าเงินกู้จำนวนมหาศาลเช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหามาได้
แต่ความสนใจในประเด็นเรื่องเงินลงทุนดูเหมือนจะถูกกลบด้วยความฮือฮาด้านอื่นในประเด็นที่ว่า
การเข้ามาสู่อุตสาหกรรมดรงกลั่นน้ำมันของทีพีไอ ในฐานะรายใหม่ แต่กลับมีกำลังการผลิตมากที่สุดในวงการโรงกลั่นน้ำมันของไทย
และจากนโยบายที่ประกาศชัดเรื่องการกำหนดราคาจำหน่าย ยิ่งน่าจับตาดูว่าถ้าโครงการเป็นจริง
น้ำมันตราทีพีไอ จะรุ่งโรจน์แค่ไหนในตลาด
เพราะแน่นอนว่าถ้าพะยี่ห้อ "ประชัย" แล้ว วงการไหนก็เถอะจะต้องวงแตกแน่
โครงการโรงกลั่นน้ำมันของทีพีไอจะมีกำลังการกลั่นสูงสุดที่ 3 แสนบาร์เรลต่อวัน
โดยตามแผนจะเริ่มทำการกลั่นในอัตรา 6.5 หมื่นบาร์เรลต่อวัน ในปี 2538 และเพิ่มเป็น
1.5 แสนบาร์เรลต่อวัน ภายในปี 2540 และเป็น 3 แสนบาร์เรลต่อวัน ภายในปี 2543
ซึ่งการเพิ่มกำลังการกลั่นเป็น 3 แสนบาร์เรลต่อวันนั้น จะต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ
12,500 ล้านบาท
นอกจากแผนการผลิตแล้ว ทางด้านการตลาดในวงการค้าน้ำมันทีพีไอ ก็ได้วางแผนไว้อย่างสวยหรู
โดยประชัยได้เข้าถือหุ้น 10% ในบริษัทสยามสหบริการ โดยมีข้อตกลงว่า ถ้าโรงกลั่นน้ำมันของทีพีไอ
สามารถดำเนินการกลั่นได้แล้ว สถานีบริการน้ำมันของสยามสหบริการ ซึ่งใช้เครื่องหมายการค้า
"ซัสโก้" จะต้องเปลี่ยนป้ายเป็นทีพีไอ และการนำเข้าน้ำมันจากสิงคโปร์จะต้องเปลี่ยนมาเป็นสั่งซื้อจากทีพีไอ
การแลกเปลี่ยนเช่นนี้ ประชัยมองว่า สยามสหบริการจะได้ในเรื่องของภาพพจน์สินค้า
เพราะยี่ห้อทีพีไอย่อมดีกว่าซัสโก้ พร้อมทั้งวางแผนว่า จะตั้งสถานีบริการน้ำมันให้ได้ปีละ
100 สถานี ในช่วง 2-3 ปีแรกของการก่อตั้งและรุกเข้าสู่วงการนี้ นอกจากนี้ยังวางแผนที่จะหนุนให้เอเยนต์ค้าปูนซีเมนต์ของทีพีไอ
หันมาเปิดสถานีบริการน้ำมันเพิ่มเติมจากธุรกิจเดิมที่ทำอยู่อีกด้วย
ความตั้งใจของประชัย พร้อมแผนงานที่วางไว้รอบด้านและต่อเนื่องเช่นนั้นเป็นการตอกย้ำถึงทิศทางของทีพีไอ
ที่จะรุกเข้าสู่อุตสาหกรรมด้านพลังงาน โดยเฉพาะการสร้างโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานสำคัญที่จะป้อนวัตถุดิบให้กับโครงการปิโตรเคมีหรืออุตสาหกรรมผลิตเม็ดพลาสติก
ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมหลักของทีพีไอ
และทุกอย่างนี้ก็เพื่อการเตรียมรับมือการค้าเสรีโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
"ถ้าถึงจุดที่ว่าเราครบวงจรแล้ว เราสามารถสู้ได้ทุกประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอเมริกาก็ตาม
ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีคากว่าภายใน 5 ปีจากนี้จะสามารถเดินไปครบวงจรได้"
ประชัยกล่าวอย่างหนักแน่นในงานครั้งล่าสุด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
และเป็นงานที่ประชัยกล่าวโทษเจ้าหน้าที่รัฐในระดับบนอย่างรุนแรงที่สุด
แต่แล้วความล่าช้าในโครงการโรงกลั่นน้ำมันของทีพีไอก็เกิดขึ้น คงต้องพูดว่าอีกจนได้
สำหรับโครงการภายใต้ต้นคิดอย่างประชัย
เพราะมีข้อถกเถียงระหว่างประชัยกับกระทรวงอุตสาหกรรม ในประเด็นการจ่ายค่าธรรมเนียมการตั้งโรงกลั่นน้ำมัน
ซึ่งทีพีไอจะต้องจ่ายถึง 750 ล้านบาท เนื่องจากมีกำลังการผลิตสูงสุด 3 แสนบาร์เรลต่อวัน
และค่าธรรมเนียมผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมหรือรอยัลตี้ ที่จะจัดเก็บ 2% จากมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในประเทศ
ฝ่ายกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งปลัดกระทรวงคือ ศิววงศ์ จังคศิริ และไชยวัฒน์
สินสุวงศ์ รัฐมนตรีว่าการฯ ต่างมีความเห็นเป็นทิศทางเดียวกันว่า ประชัยกำลังพยายามบ่ายเบี่ยงเพื่อเลี่ยงที่จะจ่ายเงินตามเงื่อนไขที่ถือว่าเป็นธรรมเนียมกับทุกฝ่าย
ส่วนประชัยกลับมองว่า เงื่อนไขที่ตั้งขึ้นมานั้นไม่ยุติธรรมและไม่สร้างสรรค์
โดยเฉพาะกับตนเอง ในฐานะที่เป็นบริษัทคนไทยอย่างแท้จริง
ซึ่งประชัยอ้างนักหนาว่า ตนเป็นคนไทยที่ทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติเป็นหลัก
"สัญญาที่จะเซ็นกันยังตกลงไม่ได้ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมกับทางทีพีไอ
จึงไม่รู้ว่าถ้าจ่ายค่ารอยัลตี้แล้วจะต้องจ่ายอย่างไรเลย ไม่มีการให้รายละเอียดในสัญญา
เราก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปติดต่อตลอด แต่ยังไม่มีการตกลงกัน ถ้ากฎเกณฑ์เดียวกัน
เราสามารถสู้ได้ทุกสนาม" ประชัยกล่าว
ประชัยกล่าวว่า การวางโครงการโรงกลั่นน้ำมัน คิดไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องพบปัญหาเหล่านี้
"เรื่องโรงกลั่นน้ำมัน คิดว่าจะต้องเจอแน่ๆ เพราะเป็นสิ่งหวงแหนของผู้ประกอบการที่มีอยู้แล้ว
แต่ถ้าไม่ทำ ประเทศไทยจะก้าวไปอีกระดับได้ยาก เพราะอุตสาหกรรมน้ำมันเป็นพื้นฐานของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี"
จะว่าไปแล้ว การเรียกร้องนั้นมีมาตั้งแต่ยุคที่ชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ
และช่วงนั้นมีข่าวว่า พรเทพ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
รับอาสาเดินเรื่องอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยให้พีทีไอได้ตามสิ่งที่ต้องการ แต่ที่สุดก็ไม่สามารถดำเนินการได้
เมื่อมีแนวโน้มว่าตนเองจะไม่สามารถเรียกร้องให้กระทรวงอุตสาหกรรมปรับเปลี่ยนแนวทางมาเป็นดังที่ตนต้องการแล้ว
จึงพยายามหาทางออกด้านอื่น
ปลายปี 2538 ในช่วงเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ทีพีไอได้พยายามอีกครั้ง และดูเหมือนว่า
ใกล้จะสำเร็จเมื่อกระทรวงการคลัง ซึ่งประชัยลงทุนเข้าพบสุรเกียรติ์ เสถียรไทย
รัฐมนตรีว่าการโดยตรง จากนั้นแนวคิดที่ประชัยพยายามให้เกิดซึ่งก็ได้รับการตอบสนองจากนายกรัฐมนตรีบรรหารในระดับหนึ่ง
จากการบ็อบบี้ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
"ผมได้ให้แนวทางไปว่า เมื่อรายใหม่มาถ้าไม่มีค่ารอยัลตี้หรือมีภาษีกินเปล่าจะได้หรือไม่
และรายเก่าที่เสียไปแล้วจะทำอย่างไร ท่านปลัดต้องไปคิดในรายละเอียดมา"
นายกฯ บรรหารกล่าว
แต่ทางกระทรวงอุตสาหกรรมยังยืนยันระเบียบเดิมอย่างเข้มแข็งเป็นพิเศษ "เงื่อนไขที่ตั้งไว้มีเฉพาะนักลงทุนที่มีความพร้อมเท่านั้น
หากใครไม่มีความพร้อมก็ควรถอยออกไป การที่ทีพีไอพยายามเบี่ยงเบนประเด็นมาตลอดถือว่าเป็นเรื่องงี่เง่าในการทำธุรกิจ
หากมีการยกเลิกก็ถือเป็นผลเสียต่อภาพพจน์รัฐอย่างแน่นอน" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าว
ที่สุดการเจรจาตกลงจึงยังไม่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่าความพยายามของทีพีไอจะยากยิ่ง
เพื่อให้สำเร็จถ้ายังมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ชื่อ ศิววงศ์ จังคศิริ ซึ่งสอดประสานอย่างดียิ่งกับรัฐมนตรีว่าการ
คำขู่เพื่อเปลี่ยนแนวทางเป็นโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อการส่งออกเป็นส่วนใหญ่จึงเกิดขึ้น
ซึ่งเท่ากับประโยชน์ที่ประเทศชาติจะได้รับอาจลดน้อยลงบ้าง
เมื่อเป็นโรงกลั่นน้ำมันเพื่อการส่งออก 80% ของกำลังการกลั่นแล้ว ทีพีไอไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการตั้งโรงกลั่นแม้แต่บาทเดียว
จะจ่ายก็เพียงค่ารอยัลตี้ในส่วนที่จำหน่ายในประเทศ 20% เท่านั้น ซึ่งถือว่ายังพอไหว
ศิววงศ์กล่าวว่า ถ้าทีพีไอยังยืนยันที่จะตั้งโรงกลั่นเพื่อผลิตจำหน่ายในประเทศ
กระทรวงอุตสาหกรรมก็ยืนยันว่าจะต้องเก็บค่าธรรมเนียมจำนวน 750 ล้านบาท และค่ารอยัลตี้
2% เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบต่อโรงกลั่นที่อยู่ระหว่างก่อสร้างหรือเปิดดำเนินการไปแล้ว
"หากทีพีไอต้องการที่จะผลิตเพื่อการส่งออก 80% ของกำลังการผลิตนั้น
ก็ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม 750 ล้านบาท แต่ในส่วน 20% ที่ผลิตจำหน่ายในประเทศก็จะต้องถูกเก็บค่ารอยัลตี้
2% อยู่ดี"
ศิววงศ์กล่าวอีกว่า แต่ถ้าช่วงที่เกิดภาวะขาดแคลนน้ำมันขึ้นในประเทศ และหากทีพีไอต้องการที่จะจำหน่ายน้ำมันในประเทศเกิน
20% ของการผลิต ทางกระทรวงอุตสาหกรรมก็ต้องเรียกเก็บค่าธรรมเนียมก่อตั้งโรงกลั่น
750 ล้านบาททันที พร้อมกับอัตราดอกเบี้ย 15% ย้อนหลังนับจากเปิดดำเนินการ
ข้อตกลงเช่นนี้ ดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีปัญหา แต่สำหรับประชัยแล้วถือเป็นอุปสรรคสำคัญทีเดียว
ประการแรก ใช่ว่าโรงกลั่นน้ำมันของทีพีไอจะสามารถกลั่นน้ำมันเพื่อส่งออกไปแข่งขันในตลาดโลกได้โดยง่าย
ทั้งเรื่องต้นทุนและคุณภาพ
ประการที่สอง ประชัยไม่ได้หวังเช่นนั้น การเบนโครงการไปสู่การส่งออกเพียงต้องการหันเหประเด็นเท่านั้น
ซึ่งดูเหมือนว่าทางกระทรวงอุตสาหกรรมจะทันเกมในเรื่องนี้ไม่น้อย และประการสุดท้าย
ประชัยตั้งเป้าหมายเพื่อที่จะบุกในวงการค้าน้ำมันในประเทศมากกว่า เห็นได้จากแนวคิดของประชัยที่กล่าวออกมาว่า
"คืออย่างนี้นะครับขอเรียนให้ทราบว่าความต้องการการใช้น้ำมันของประเทศไทย
ถ้าอีกสามปีข้างหน้าคิดว่าคงไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน อนาคตอาจสูงถึง
1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตอนนี้ประเทศไทยมีการผลิต 7 แสนบาร์เรลต่อวันเท่านั้น
เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่สร้างไปตอนนี้ อีก 3-4 ปีข้างหน้าประเทศไทยขาดแคลนน้ำมันแน่
แล้วท่านจะเห็นพวกรถไปรอคิวอยู่ที่ปั๊มน้ำมันเป็นแถว อีก 3 ปีข้างหน้าท่านจะได้เห็นภาพนี้"
ประชัยกล่าวเมื่อถูกซักถามว่า ถ้ายังมีอุปสรรคเช่นที่เป็นอยู่ โครงสร้างโรงกลั่นน้ำมันจะเป็นอย่างไร
และว่า
"เพราะฉะนั้นผมคิดว่า จริงๆ แล้ว เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติอีกนั่นแหละ
เราคิดว่าเราก็ควรจะต้องทำลงไป ยังไงก็ต้องทำเพราะต้องครบวงจร เราต้องการให้หัวหน้ารัฐบาลมองลงไปลึกๆ
ว่า ไม่ต้องมานั่งควบคุมว่าจะต้องมีค่ารอยัลตี้ ยังไงก็ต้องทำลงไป ถ้าไม่ทำมันจะเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ
ประเทศเราเป็นประเทศประชาธิปไตย ระบบเผด็จการที่ท่านปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมใช้อยู่ทุกวันนี้
ไม่ได้ผล ระบบประชาธิปไตยอย่างไรก็เหนือชั้นกว่า" คำกล่าวเสียดสีอย่างเผ็ดร้อน
จริงๆ แล้ว ประชัยก็เห็นช่องทางจากตลาดน้ำมันของไทย การหวังจะส่งออก จึงเป็นเพียงภาพลวงเสียมากกว่า
การเดินเรื่องให้ได้ถึงที่สุดเกิดขึ้นเป็นระยะ อย่างการออกข่าวว่าได้ดึงคูเวตเข้ามาร่วมถือหุ้นในโครงการนี้ราว
20-30% ก็เพื่อหวังล็อบบี้รัฐบาลทางอ้อม แต่ทุกอย่างก็ยังไม่เป็นผลอย่างรูปธรรม
กว่าหนึ่งปีมาแล้วที่การถกเถียงระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมกับทีพีไอเป็นเรื่องเป็นราวและเป็นข่าวมาอย่างต่อเนื่อง
มีการดึงตัวละครหลักๆ ให้เข้ามาเกี่ยวข้อง ไทยออยล์ ในฐานะโรงกลั่นรายใหญ่ที่สุดของไทยในปัจจุบัน
และแสดงความเป็นห่วงที่เกรงว่าน้ำมันจะล้นตลาด ถูกประชัยโยงเข้ามาเกี่ยวข้อง
ประชัยโยงความสัมพันธ์ระหว่างศิววงศ์กับเกษม จาติกวณิช ผู้บริหารสูงสุดของไทยออยล์
ด้วยพยายามบอกว่า เพราะไทยออยล์ต้องการสกัดผู้มาใหม่ จึงดึงความสัมพันธ์ระหว่างปลัดกับเกษม
เพื่อมาบีบตนเองซึ่งเรื่องนี้ยากที่จะพิสูจน์
ส่วนกรณีโรงกลั่นระยองรีไฟน์นิ่งของเชลล์ และโรงกลั่นสตาร์ รีไฟน์นิ่งของคาลเท็กซ์ที่เกิดขึ้นใหม่
และกำลังจะเริ่มต้นการกลั่นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งทั้งสองได้จ่ายเงินตามเงื่อนไขของกระทรวงอุตสาหกรรมทุกอย่าง
ทางประชัยก็มีเรื่องว่าอีกจนได้
ประชัยชี้ว่า เชลล์และคาลเท็กซ์มีการประเมินราคาโรงกลั่นสูงเกินความเป็นจริงไปถึง
20,000 ล้านบาท จากนั้นทั้งสองก็ขายหุ้นให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.)
รายละ 36% ซึ่งเป็นการซื้อที่ใช้เงินซื้อมาเกินความจริง และเชลล์กับคาลเท็กซ์ก็เอาเงินที่กำไรรอบแรกไปแล้วมาจ่ายค่าธรรมเนียม
เช่นนี้ จึงเป็นเรื่องง่ายที่ทั้งสองโรงกลั่นนั้นยอมจ่าย
"ภาษาตลาดเขาเรียกอัฐิยายซื้อขนมยาย เชลล์กับคาลเท็กซ์แทบไม่ต้องเอาเงินมาลงทุนในประเทศไทยเลย
มาแบบจับเสือมือเปล่าครับ"
สำหรับแนวคิดของประชัยนั้น เขาต้องการเปลี่ยนระบบการจัดเก็บเกี่ยวกับอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมัน
โดยภาครัฐกลับหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
"การที่เราขอให้เล่นอยู่ในกติกาเดียวกัน ทำไมเล่นไม่ได้ด้วยกติกาเดียวกันคือ
2% ถ้าจะเสีย เสียด้วยกัน ถ้าไม่เสียเราก็กอดคอไม่เสีย ถามว่ารัฐบาลเสียหายไหม
ผมว่ารัฐบาลไม่เสียหาย แต่ว่าถ้ารัฐบาลกลัวว่าเงินไม่พอ ผมว่าไปเพิ่มในภาษีสรรพสามิตได้อีก
6 สตางค์ต่อลิตร เพิ่มเข้าไปเพราะฉะนั้นโรงกลั่นที่ไม่เคยเสีย อย่างบางจากไม่เคยเสีย
ก็ต้องมาเสีย รัฐบาลก็เก็บเงินได้เพิ่มขึ้น ที่ต้องเสียก็เสียเท่าเดิม น้ำมันที่นำเข้ามาจากต่างประเทศที่ไม่เคยเสีย
ก็มาเสียในสรรพสามิตเพิ่มขึ้น 6 สตางค์ต่อลิตร รัฐบาลมาอ้างว่าถ้าไม่เก็บค่ารอยัลตี้
2% รัฐบาลจะเสียหาย ท่านปลัดกระทรวงการคลังท่านก็บอกไม่เสียหาย ท่านคิดเป็น
แต่ท่านปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมท่านบอก ท่านคิดไม่เป็น ทั้งที่อาวุโสท่านก็มากกว่า"
ประชัยกล่าว
มองปัญหาความขัดแยังระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมกับทีพีไอ ในเรื่องกฎระเบียบข้อนี้แล้ว
ไม่กล้าตัดสินว่าใครคือฝ่ายถูกฝ่ายผิด
แต่มองลึกลงไป การเรียกร้องประเด็นเหล่านี้ น่าจะมาจากความไม่พร้อมของทีพีไอเสียเองมากกว่าประเด็นอื่น
แทนที่จะประกาศเลื่อนโครงการ หันมาใช้วิธีรี้ตามสไตล์ที่ถนัด น่าจะได้ผลคุ้มค่ากว่า
ไม่เสียชื่อเสียง ว่าประกาศโครงการแล้วไม่พร้อม ดีไม่ดี ถ้ารัฐบาลคิดไม่เป็นเล่นตามเกม
ก็จะได้สนุกสนานอย่างเต็มที่
ทุกวันนี้ ประชัยดูจะไม่มีเวลาว่างเอาเสียเลย งานล้นมือไปเสียทุกเรื่อง
ที่สำคัญ ปัญหาแหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้ในหลายโครงการยังติดขัดอยู่มาก โดยเฉพาะโครงการโรงกลั่นที่จะต้องใช้เงินกู้มากมายถึง
2.5 หมื่นล้านบาท
ความติดขัดในการบริหารงานด้านการเงิน ไม่อาจปฏิเสธว่า เป็นเพราะมือการเงินฝีมือเยี่ยม
ที่อยู่กับกลุ่มทุนแห่งนี้นับจากรุ่นพ่อ ต้องตีจากไป
แม้ว่า คนในทีพีไอจะยืนยันว่า "มังกร เกรียงวัฒนา" จะยังอยู่ในทีพีไอ
แต่ทุกวันนี้ มังกรผู้นี้กลับมิได้มีส่วนร่วมในการบริหารงานอีกต่อไป เป็นเช่นนี้มานานหลายเดือนแล้ว
และแม้จะอ้างว่าด้วยปัญหาสุขภาพของตัวมังกรเอง แต่รู้ๆ กันว่า เพราะความขัดแย้งในแผนการเงินที่ผิดพลาด
ซึ่งมังกรจำเป็นต้องเป็นผู้รับหน้าเสื่อ
เมื่อต้นปี 2538 ทีพีไอประสบปัญหาขาดทุนตราสารอนุพันธ์และการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
ซึ่งตัวเลขในการลงบัญชีบ่งชี้ว่าขาดทุนถึง 312 ล้านบาท
ครั้งนั้น มังกรชี้แจงว่า บริษัทขาดทุนในรูปของเงินสดที่ต้องชำระเพียง
1 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานแต่อย่างใด
แต่เพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้สายสัมพันธ์ที่มีมานาน ตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อ
ซึ่งพ่อของมังกรเป็นหลงจู๊ของกลุ่มทุนแห่งนี้ ในสมัยยังเป็นธุรกิจแบบเถ้าแก่
เริ่มจืดจางลง จนในที่สุด มังกรจำต้องวางมือจากอาณาจักรแห่งนี้
ทุกวันนี้ ประชัยยังไม่สามารถหามือการเงินมาทดแทนได้ มีเพียงระดับล่างลงมาร่วมปรึกษาหารือในเรื่องต่างๆ
โดยมีประชัยเป็นผู้ดูแลโดยตรง ผิดกับแต่ก่อนที่เชื่อมือมังกรได้
กล่าวถึงมังกร เกรียงวัฒนา ผู้นี้ได้ฝากผลงานระดับเยี่ยมไว้กับทีพีไอไม่น้อย
ไม่ว่าจะเป็นดีลเงินกู้ ดอกเบี้ยต่ำ ระยะยาว มูลค่านับหมื่นล้านบาท ที่กู้มาลงทุนในโรงไฟฟ้าและการสร้างโรงปูนซีเมนต์
ทั้งการกู้จากญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ซึ่งนับเป็นเอกชนไทยเพียงไม่กี่ราย ที่ได้รับความไว้วางใจเช่นนี้
หรืออย่างการออกพันธบัตรในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งนับเป็นเอกชนรายแรกที่ออกพันธบัตรในต่างประเทศได้สำเร็จ
ผลงานเหล่านี้อาจกล่าวว่าเป็นเพราะองค์กร ทีพีไอได้รับการยอมรับ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่า
ถ้าไม่ใช่มังกรเป็นผู้เดินเรื่องและเจรจาติดต่อ ความสำเร็จคงไม่เกิดขึ้น
ทางด้านช่องทางการจำหน่ายน้ำมัน เพื่อรองรับน้ำมันที่จะเกิดจากโรงกลั่นก็ใช่ว่าจะราบเรียบ
สถานีบริการน้ำมันที่ตกลงด้วยสัญญาสุภาพบุรุษกับทางสยามสหบริการ ซึ่งมีมงคล
สิมะโรจน์ เป็นหัวเรือใหญ่นั้น เมื่อถึงเวลาจริงๆ ยังไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อนกันแน่
เพราะต่างฝ่ายต่างมีเหลี่ยมในเชิงธุรกิจไม่แพ้กัน ขึ้นอยู่กับว่าจะตกลงผลประโยชน์ได้ลงตัวแค่ไหน
ถ้าตกลงไม่ได้ ทางทีพีไอจะสามารถสร้างขุมข่าย เพื่อต่อสู้กับรายเดิมได้อย่างไรในเวลาอันรวดเร็ว
นโยบายที่จะบุกด้วยการค้าส่งน้ำมันเป็นหลัก ด้วยกลยุทธ์ราคานั้น ประชัยจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะฝ่าฟันไปได้
ความเจนสังเวียนในการจัดการกับธุรกิจนี้ ทางทีพีไอพร้อมแล้วหรือ ยิ่งเชลล์กับคาลเท็กซ์มีโรงกลั่นเป็นของตนเองด้วยแล้ว
การแข่งขันในตลาดน้ำมันยิ่งร้อนแรงขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เข้าใจว่า ประชัยก็คงจะลังเลไม่น้อย
ปมขัดแย้งในเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องจึงเกิดขึ้น ตามวิสัยและบุคลิกของผู้นำองค์กรแห่งนี้
"ถ้าทุกคนลงทุนได้อย่างเสรี คงไม่มีใครอยากไปทะเลาะกับใคร นี่คือนิสัยที่เราได้รับการบ่มมา
แต่ทีนี้เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ ด้วยสำนึกที่เราเป็นคนไทย อยากจะสร้างความเจริญให้กับประเทศ
อยากตอบแทน ถ้าเป็นนักลงทุนคนอื่น เจออย่างนี้ก็อาจจะถอย ประเทศไทยก็จะล้าหลัง
ด้อยพัฒนา มีแรงงานถูกๆ ขายออกไปอยู่ตลอดเวลา สังคมก็จะไม่เป็นอย่างนี้"
ประชัยกล่าว
ประชัยมักจะกล่าวอ้างอยู่เสมอๆ ว่าลงทุนทุกอย่างเพื่อประเทศชาติเพื่อสังคม
แต่ภายใต้การดำเนินการของกลุ่มทุนแห่งนี้ นับจากอดีตเรื่อยมา มีมากมายปัญหาทีเดียว
และก็เข้าข่ายที่ว่าตนเองเท่านั้นถูกต้อง
ทีพีไอเคยนำเรือขุดสัญชาติจีนเข้ามาขุดลอกร่องน้ำในทะเลบริเวณจังหวัดระยอง
เพื่อให้มีความลึกจาก 10 เมตรเป็น 15 เมตร เพื่อกิจการขนส่งของทีพีไอเอง
โดยอ้างว่า ได้ว่าจ้างบริษัทคนไทยแล้วแต่ไม่มีเครื่องมือและอุปกรณ์ ทำให้โครงการของตนล่าช้า
จึงจำเป็นต้องละเมิดกฎหมาย มิหนำซ้ำยังอ้างว่าไม่รู้ระเบียบกรมเจ้าท่าในเรื่องนี้ว่าต้องขออนุญาตก่อน
ในพื้นที่จังหวัดระยอง ทีพีไออ้างว่าการตอบแทนสังคมเป็นเรื่องหลักของการดำเนินธุรกิจ
แต่เมื่อสิ้นปี 2537 ผังเมืองกำลังจะหมดอายุ และเดิมเป็นพื้นที่สีเหลือง
ซึ่งกำหนดให้เป็นพื้นที่สำหรับการพาณิชยกรรม และที่อยู่อาศัย ชุมชนหนาแน่นน้อยใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัย
สถาบันราชการ สาธารณูปโภค และสาธารณูปการ
ห้ามใช้ประโยชน์ที่ดินดังนี้
1. โรงงานทุกประเภทเว้นที่ไม่ก่อเหตุรำคาญ
2. คลังวัตถุอันตราย
3. คลังเชื้อเพลิง สถานที่บรรจุและเก็บก๊าซ
เดิมนั้น ทีพีไอตั้งโรงงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี อยู่บนพื้นที่เขตอุตสาหกรรม
ต.เชิงเนิน อ.เมือง จ.ระยอง ต่อมามีโครงการจะขยายพื้นที่ใกล้เคียงกับโรงงานเดิมอีกประมาณ
6,700 ไร่ เพื่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมและคลังเก็บก๊าซและสารเคมี จึงได้ทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมส่งให้สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม
(สผ.) พิจารณา
ซึ่ง สผ. ได้ส่งเรื่องกลับไปยังทีพีไอถึง 2 ครั้ง ว่าไม่อาจพิจารณาได้
เนื่องจากการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ไม่สอดคล้องกับผังเมือง
จนที่สุดเมื่อมีการพิจารณาแผนผังเมืองครั้งใหม่ปรากฏว่า พื้นที่เดิมได้กลายเป็นพื้นที่สีม่วงไปเสียแล้ว
แม้จะถูกคัดค้านจากคนในพื้นที่ นักวิชาการอย่างมากก็ตาม จึงเท่ากับว่า ทีพีไอได้ตามที่ตนเองต้องการ
ยังมีการขุดอุโมงค์ลอดถนนหลวง เพื่อเป็นท่อส่งวัตถุดิบระหว่างโรงงานในเครือของทีพีไอ
ในพื้นที่ จ.ระยองเช่นกัน แม้จะมีการคัดค้านในหลายเรื่องจากประชาชนในพื้นที่
ไม่ว่าจะเป็นการขอเช่าพื้นที่จำนวน 3 ไร่ ของวัดปลวกเกตุ ต.เชิงเนิน เพื่อการณ์นั้น
ที่สำคัญในสัญญาระบุว่า ทีพีไอมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้เท่านั้นทางวัดไม่มีสิทธิ์
แถมด้วยอัตราค่าเช่าก็แสนถูกคือ 24,000 บาทต่อปีเท่านั้น
ทางทีพีไอแก้ต่างในกรณีนี้ว่า ที่ไม่ให้ทางวัดบอกเลิกสัญญานั้น เนื่องจากทีพีไอลงทุนไปมาก
เกรงว่าถ้าให้วัดบอกเลิกสัญญาโดยไม่มีเหตุผล จะทำให้โครงการเกิดความเสียหาย
ส่วนค่าเช่าก็คงเป็นไปตามอัตราการเช่าที่ดินสงฆ์ ของกรมศาสนา
ชาวบ้านในระยอง ค่อนข้างจะหวั่นวิตกกับการดำเนินการของทีพีไอ ในหลายเรื่องเนื่องจากทีพีไอ
ที่ประชัยพร่ำบอกว่าดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วยดีนั้น แท้จริงแล้ว ชาวบ้านในระยองประสบเหตุหลายครั้ง
เช่น โรงงานผลิตเม็ดพลาสติก เอบีเอสและเอเอส ของบริษัทในเครือทีพีไอได้ปล่อยกลิ่นก๊าซและเขม่าควันดำ
ซึ่งเกิดจากกระบวนการผลิต ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยในลักษณะต่างๆ เช่น อาเจียน
หน้ามืด เป็นลม เป็นโรคผิวหนัง แท้งลูก จนถึงขั้นอาจเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาวได้
ซึ่งปัญหาความขัดแย้งเหล่านี้ก็ยังยืดเยื้อมาจนปัจจุบัน การแก้ปัญหาก็เข้าข่ายลูบหน้าปะจมูกไปวันๆ
ภาพสวยหรูขององค์กรที่พยายามทำเพื่อประเทศชาติ ซึ่งประชัยพยายามสร้างขึ้นมา
จึงไม่อาจจะปักใจเชื่อได้
การเรียกร้องต่อกระทรวงอุตสาหกรรม ในประเด็นโรงกลั่นน้ำมันครั้งนี้ก็เช่นกัน
ไม่อาจจะสรุปได้ว่า ทีพีไอได้เรียกร้องความเป็นธรรม
และดูเหมือนว่ายิ่งประชัยก้าวรุกในเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งจะผูกมัดตนเองมากขึ้นเท่านั้น
ปลายเดือนมกราคม 2539 จากปัญหาที่ขัดแย้งกันนี้ทำให้ไชยวัฒน์ สินธุวงศ์
เริ่มจี้ทีพีไอในเรื่องการละเมิดระเบียบเรื่องสัญญาโรงกลั่น โดยมีการสั่งไปย้งกรมโรงงานอุตสาหกรรม
เพื่อให้เข้าไปตรวจสอบโรงกลั่นคอนเดนเสทที่มีอยู่ในประเทศจำนวน 4 ราย ว่ามีการกลั่นผิดวัตถุประสงค์หรือไม่
เพราะที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมไม่ได้เข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเปิดกว้างในกรณีการนำคอนเดนเสทมากลั่นเพื่อให้ได้วัตถุดิบไปใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
"แต่ในขณะนี้บางรายได้ดำเนินการผิดวัตถุประสงค์ โดยกลั่นเพื่อให้ได้น้ำมันมาจำหน่ายในท้องตลาด
ซึ่งถือว่าไม่ถูกต้อง" ไชยวัฒน์กล่าว
สำหรับอุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันนั้น การนำคอนเดนเสทมากลั่นเพื่อให้ได้วัตถุดิบไปใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีนั้น
ในขั้นตอนแล้วก็สามารถที่จะกลั่นเพื่อให้ได้น้ำมันเชื้อเพลิงเช่นกัน เพียงแต่ว่าการนำน้ำมันดิบมากลั่นเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น
จะมีขั้นตอนการเพิ่มคุณภาพน้ำมันเพื่อให้ได้ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด แต่การกลั่นจากคอนเดนเสทนั้นจะไม่มีกระบวนการนี้
ผู้ลักลอบกลั่นตามกระบวนการนี้จึงเท่ากับว่าเอาเปรียบผู้บริโภคและผู้ค้ารายอื่น
ปัจจุบัน โรงคอนเดนเสทในไทย มีจำนวนทั้งสิ้น 4 โรงกลั่น คือ บริษัทศักดิ์ไชยสิทธิ์,
บริษัทวีระสุวรรณ, บริษัทซิค และบริษัททีพีไอ ซึ่ง 3 โรงงานแรกนั้น ทางกรมโรงงานฯ
ระบุว่ามีการดำเนินการถูกวัตถุประสงค์
ส่วนทีพีไอนั้น รายงานข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรมระบุว่า มีการกระทำที่ส่อเจตนาโดยกลั่นน้ำมันจากคอนเดนเสทมาจำหน่ายในตลาดทั่วไป
การกระทำดังกล่าวถือว่าเข้าข่ายเป็นการสร้างโรงกลั่นเถื่อน เพราะยังไม่มีการขออนุญาตจากกระทรวงฯ
และที่สำคัญยังไม่มีการจ่ายค่าธรรมเนียมจัดตั้งโรงกลั่น และค่ารอยัลตี้
ไชยวัฒน์กล่าวกับผู้ใกล้ชิดว่า จะหาทางให้ทีพีไอเข้ามาสู่ระบบที่ถูกต้องให้ได้ภายใน
3 เดือน พร้อมกับข่าวการกลั่นคอนเดนเสทผิดวัตถุประสงค์ของทีพีไอ ได้มีข่าวการเร่ขายน้ำมันดีเซล
โดยตัวแทนจากทีพีไอในราคาถูกอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ หรือคุ้มทุนประดังเข้ามา
ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการตอกย้ำการลักลอบนั้น ซึ่งจะมีต้นทุนการกลั่นถูกกว่าการนำน้ำมันดิบเข้ามากลั่น
ดูเหมือนว่า การแสบีบรัดทีพีไอจะหนักข้อขึ้นทุกวัน นี่ยังไม่รวมถึงการให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
ที่จะเข้าตรวจสอบระบบความปลอดภัยของโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกของทีพีไอ ที่ระยะหลังมีอุบัติเหตุเพลิงไหม้บ่อยครั้ง
รวมทั้งตรวจสอบระบบป้องกันปัญหามลพิษด้วย
สำหรับประชัยก็ได้แต่ปฏิเสธและเกรี้ยวกราดเท่านั้น ไม่อาจจะทำอะไรได้ ถามถึงความคืบหน้าโครงการโรงกลั่นน้ำมัน
ประชัยตอบอย่างไม่ยี่หระว่า "กำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนการเจรจาราคาเครื่องจักรกับเจรจาในสัญญารวมทุนผู้ถือหุ้น
ยังไม่ได้ลงมือก่อสร้าง"
ที่สำคัญคำตอบนี้ มีอายุเกือบ 1 ปีแล้ว และก็ไม่รู้ว่าอีก 1 ปี หรือ 2
ปีข้างหน้า คำตอบจะยังคงเดิมเช่นนี้หรือไม่ เพราะเกมที่ประชัย เลี่ยวไพรัตน์
สร้างขึ้นครั้งนี้ นับวันจะยิ่งลุ่มลึกขึ้นเรื่อยๆ