Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2539








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2539
กู้เกียรติ รัตนพันโทวงษ์ "ทองคำไม่เหมือนรถยนต์ จะได้ดูกันแค่ยี่ห้อ"             
 


   
search resources

Jewelry and Gold
กู้เกียรติ รัตนพันโทวงษ์
พีดี เหมืองแร่และอัญมณี,บจก




หลังจากที่ซุ่มขายสินค้าเงียบๆ มาประมาณ 1 ปี จนกระทั่งมีจุดขายตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วกรุงเทพฯ ทั้งสิ้น 14 แห่งแล้ว บรษัทพีดี เหมืองแร่และอัญมณี จำกัด ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวเครื่องประดับทองคำสวิส 99.99% ภายใต้แบรนด์เนม "โกลด์ เนเจอร์" อย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ว่ากันว่านอกจากจะเป็นการแนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น ยังเป็นการประกาศถึงความพร้อมในการรุกตลาดของโกลด์เนเจอร์อีกด้วย

เครื่องประดับทองคำสวิส 99.99% ในประเทศไทยถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2534 เมื่อบริษัท โกลด์ มาสเตอร์ จำกัด (มหาชน) โดยสองพี่น้องสมองใส นพดลและปริญญา ธรรมวัฒนะ ลุกขึ้นมาฉีกตำราการค้าทองตำรับเยาวราชทิ้งแล้วสร้างกลยุทธ์ใหม่ขึ้นมาแทนที่ ด้วยการนำเสนอรูปแบบและคุณภาพสินค้าที่แตกต่างจากทองตู้แดง ไม่เพียงเท่านั้นยังขายในราคาที่สูงกว่าทองเยาวราช ซึ่งเป็นทอง 96% ถึงเท่าตัว

ด้วยคอนเซ็ปต์ทางการตลาดที่สมบูรณ์ ทำให้โกลด์ มาสเตอร์ประสบความสำเร็จอย่างงดงามเหนือความคาดหมาย ชนิดที่นพดลและปริญญาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า โกลด์ มาสเตอร์จะกลายเป็นแบบอย่างให้ผู้ค้าทองและเครื่องประดับรายอื่นๆ เดินตามเหมือนปัจจุบันนี้

"ตอนเริ่มทำไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนตาม คิดอยู่แค่ว่าของเราจะไปรอดหรือเปล่า
แต่ผมว่าก็ดีที่ตอนนี้มีหลายบริษัททำทอง 99.99% ออกมาจำหน่าย เพราะจะได้ช่วยกันทำให้ตลาดคึกคักขึ้น" ปริญญา ธรรมวัฒนะ ซีอีโอของโกลด์ มาสเตอร์ ที่กำลังจะกลายเป็นบริษัทมหาชนเร็วๆ นี้ กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทองสวิส 99.99% "โกลด์ เนเจอร์" ซึ่งเขาบอกว่ามาร่วมแสดงความยินดีในฐานะคนวงการเดียวกัน

ผลิตภัณฑ์เครื่องประดับทองคำสวิส "โกลด์ เนเจอร์" นับเป็นการขยายธุรกิจครั้งสำคัญของพีดี เหมืองแร่และอัญมณี ซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทขึ้นเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ เพราะเป็นสินค้าตัวแรกของบริษัทที่ถูกแนะนำออกสู่สายตาสาธารณชน เนื่องจากที่ผ่านมาธุรกิจหลักของบริษัท คือการทำเหมืองแร่รัตนชาติ อันประกอบไปด้วยพลอยหลัก 2 ชนิด คือ ไพลินและบุษราคัม นอกเหนือไปจากความเชี่ยวชาญด้านการเจียระไนพลอยและการออกแบบอัญมณี ภายใต้การบริหารและดูแลอย่างใกล้ชิดของ "สนธิ รัตนพันโทวงษ์" ประธานกรรมการบริหาร

"สนธิ รัตนพันโทวงษ์" นับว่าเป็นบุคคลผู้คร่ำหวอดในวงการอัญมณีมานานกว่า 30 ปี ก่อนที่จะแยกตัวออกมาตั้งพีดี เหมืองแร่และอัญมณี เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา เขาเป็นคนหนึ่งที่มีส่วนสำคัญอย่างมากในการสร้างความสำเร็จให้กับแพรนด้า จิวเวลรี่ โดยเป็นผู้ร่วมบุกเบิกกับ "ปรีดา เตียสุวรรณ์" มาอย่างใกล้ชิด ก่อนที่จะแยกตัวออกมาทำธุรกิจตามลำพังนั้น เขามีตำแหน่งรองประธานบริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ และเคยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ด้วย

"ความสัมพันธ์ของคุณพ่อ (สนธิ) กับคุณปรีดา เริ่มมาตั้งแต่ก่อนที่จะมีแพรนด้า จิวเวลรี่ ช่วงนั้นคุณปรีดาเป็นโบรกเกอร์หาออร์เดอร์มาให้กับโรงงานผลิต ขณะที่คุณพ่อจะเป็นคนที่เชี่ยวชาญในด้านการผลิตมาก ดังนั้นเมื่อมีออร์เดอร์มากขึ้น ทั้งสองคนก็มาร่วมลงทุนกัน โดยที่คุณปรีดาเป็นคนดูแลด้านการตลาด ฝ่ายคุณพ่อจะควบคุมด้านการผลิตทั้งหมด" กู้เกียรติ รัตนพันโทวงษ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดพีดี เหมืองแร่และอัญมณี ลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้นของสนธิเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

ด้วยความเชี่ยวชาญในเรื่องการผลิตเครื่องประดับอัญมณีนี่เอง ที่ทำให้ "สนธิ" มีความคิดที่จะผลิตเครื่องประดับทองคำสวิส 99.99% ออกมาสู่ตลาดกับเขาบ้าง เพราะนอกจากจะได้นำประสบการณ์และความรู้ความสามารถมาใช้ให้เกิดประโยชน์แล้ว ยังเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับบริษัท รวมทั้งเปิดโอกาสให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้นด้วย

เพราะถ้าพูดกันจริงๆ แล้ว ตลาดทอง 99.99% ยังถือได้ว่ามีคู่แข่งน้อยมาก โดยเฉพาะรายที่ประสบความสำเร็จในการทำตลาดมีอยู่เพียง 2 ราย คือ โกลด์ มาสเตอร์ และพรีม่า โกลด์ ของแพรนด้า จิวเวลรี่เท่านั้น นอกนั้นก็เป็นแบรนด์เล็กแบรนด์น้อยที่พยายามจะแจ้งเกิดให้ได้อีก 2-3 ราย จึงไม่ใช่เรื่องลำบากนัก สำหรับเป้าหมายส่วนแบ่งการตลาดที่วางไว้ คือ 10% ของตลาดรวมมูลค่าปีละ 1,000 ล้านบาทในปีแรก ก่อนที่จะเพิ่มเป็น 15% ในปีถัดไป

เพียงแต่ต้องมีการปรับตัวกับบ้างเล็กน้อย กล่าวคือ แทนที่จะทำตลาดทั้งชนิดทอง 99.99% และ 96.5% ควบคู่กันไป ก็ต้องเหลือแต่ทอง 99.99% เพียงอย่างเดียว เพราะทอง 96.5% ไม่สามารถสร้างจุดแตกต่างที่ชัดเจนจากทองตู้แดง ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์ทองเท่ากันได้ แม้ว่าจะมีรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่ด้วยราคาที่แพงกว่าทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในการทำตลาด

"อีกอย่างถ้าเราทำทอง 96.5% ด้วย จะทำให้เรามีปัญหาในการทำตลาดทอง 99.99% ซึ่งเป็นสินค้าหลัก เพราะไม่สามารถโหมกำลังไปในทางเดียวได้ แม้ว่าเราจะรู้สึกว่าการมีทองทั้งสองชนิดจะดีตรงที่ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกก็ตาม" กู้เกียรติกล่าว

สำหรับ "กู้เกียรติ" แม้ว่าเขาจะยังเป็นน้องใหม่ของพีดี เหมืองแร่และอัญมณี ด้วยอายุงาน 7 เดือนเท่านั้น แต่ในฐานะทายาทคนโตเขาจึงถูกวางตัวให้เป็นหัวเรือใหญ่ที่จะรับช่วงการบริหารกิจการต่อจากคุณพ่อ ซึ่งการเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดในช่วงสำคัญของบริษัทที่กำลังจะเปลี่ยนสถานะจากการเป็นผู้ผลิตเพียงอย่างเดียว เข้าสู่การแข่งขันทางการตลาดกับคู่แข่งอย่างสมบูรณ์จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด

ก่อนที่จะมาร่วมงานกับพีดี เหมืองแร่และอัญมณี กู้เกียรติเป็นพนักงานของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด อยู่ประมาณ 6 เดือน หลังจากที่เขาสำเร็จการศึกษาด้านเอ็มบีเอกลับมาจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งที่นั่นเขาได้มีโอกาสเข้าไปฝึกงานและเรียนรู้เกี่ยวกับการดูพลอยอยู่นาน 6 เดือน เพราะรู้ดีว่าไม่ช้าก็เร็วเขาต้องเข้ามาสานต่อธุรกิจที่คุณพ่อวางรากฐานเอาไว้ และคาดว่าอนาคตคงมีบรรดาน้องๆ ของเขาที่ยังร่ำเรียนหนังสืออยู่เข้ามาช่วยกันทำงานมากกว่านี้ ซึ่งแน่นอนว่าพีดี เหมืองแร่และอัญมณี จะไม่หยุดการขยายธุรกิจอยู่เพียงแค่นี้

เพราะขณะนี้ก็ได้มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 60 ล้านบาท เป็น 120 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ลงทุนขยายกิจการไว้เรียบร้อยแล้ว โดยอันดับต่อไปที่จะทำคือ การแนะนำเครื่องประดับอัญมณีออกมาทำตลาด จากเดิมที่ผลิตให้กับคนอื่นมานาน

นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมทุนกับซัปพลายเออร์เพชรรายใหญ่ของต่างประเทศ ซึ่งหากสำเร็จจะทำให้บริษัทได้เปรียบในเรื่องการจัดหาวัตถุดิบอีกมาก รวมทั้งจะทำให้ได้ต้นทุนที่ถูกลง จากเดิมที่มีพลอยไพลินและบุษราคัมอยู่แล้ว

ส่วนโกลด์ เนเจอร์เองนั้นก็มีแผนที่จะขยายตลาดในต่างประเทศเพิ่มเติมโดยขณะนี้กำลังเจาะตลาดอินโดนีเซียและมาเลเซียอย่างขะมักเขม้น

สำหรับตลาดเมืองไทยนั้น กู้เกียรติกล่าวว่าเขาไม่หนักใจในการทำตลาดนัก เพราะโกลด์ เนเจอร์มีข้อเสนอที่ดีกว่าคู่แข่งหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นราคาที่ถูกกว่า โกลด์ มาสเตอร์ 10-20% ถูกกว่าพรีม่า โกลด์ 5% นอกจากนี้ราคารับซื้อคืนยังสูงกว่าคือ บวกให้ลูกค้าอีก 10% ของราคาการซื้อขายทองในวันนั้น ขณะที่คู่แข่งบวกให้ลูกค้าเพียง 5%

"ถ้าเราผลิตแบบที่ถูกใจลูกค้า เรามั่นใจว่าเขาต้องซื้อแน่ เพราะไม่รู้ว่าจะไปจ่ายแพงกว่าทำไม ทองคำไม่เหมือนรถยนต์ จะได้ดูกันแค่ยี่ห้อ" กู้เกียรตืกล่าวทิ้งท้าย

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us