โครงการรอยังซิตี้ เป็นของบริษัทนารายณ์ร่วมพิพัฒน์ ที่เดิมมีตระกูลชาญอิสสระเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
เกิดขึ้นเมื่อปี 2532 ด้วยแนวความคิดที่ว่าต้องการสร้างเป็นศูนย์การค้าที่ยาวที่สุดในเมืองไทย
เพราะพื้นที่บริเวณนั้นเป็นถนนที่มีลักษณะเป็นเส้นโค้งเลียบทางรถไฟสายบางซื่อ-คลองตัน
ยาวประมาณ 1.8 กม. มีเนื้อที่ประมาณ 88 ไร่ เชื่อมระหว่างถนนพระราม 9 กับถนนเพชรบุรี
เป็นโครงการพัฒนาที่ดินซึ่งเช่าที่จากการรถไฟฯ ระยะเวลา 30 ปี ที่ได้รับความสนใจมากโครงการหนึ่งในขณะนั้น
ลักษณะของโครงการที่วางไว้ตั้งแต่แรกก็คือ เป็นร้านค้าย่อยติดถนนเรียงรายไปทั้ง
2 ฝั่ง โดยฝั่งขวาจากถนนพระราม 9 เป็นโชว์รูมชั้นเดียวขนาดประมาณ 120 ยูนิต
และอีกฝั่งเป็นโชว์รูม 4 ชั้นครึ่งเป็นออฟฟิศสำนักงาน แต่ปรากฏว่ามีอุปสรรคต่างๆ
มาโดยตลอด แม้เวลาลุล่วงมาถึงปี 2537 ก็ยังมีหลายส่วนที่ยังไม่ได้เริ่มงานก่อสร้าง
แม้แต่ส่วนที่เปิดบริการได้แล้วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาก็ไม่มีกิจกรรมเกิดขึ้นนั้นเรียกได้เลยว่าเป็นโครงการร้างใจกลางเมืองที่น่าเสียดายอีกโครงการหนึ่ง
เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่มองการตลาดผิดพลาดอย่างมหันต์ ก่อให้เกิปัญหาระหว่างผู้ถือหุ้นในเวลาต่อมา
"สาเหตุหนึ่งในโครงการนี้ไม่ประสบความสำเร็จ เป็นเพราะกลุ่มผู้ถือหุ้นของโครงการแตกคอกันก็เลยทิ้ง
เดิมทีผมรู้จักกับคุณสงกรานต์ อิสสระ เขาคือหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งผมมองว่าเป็นคนรุ่นใหม่
เขาเชิญพวกเราในวงการเสื้อผ้าไปดูโลเกชั่น แล้วคุยเรื่องคอนเซ็ปต์กัน ร่วมกันวางแผนดีไซน์ตรงนี้ให้เป็นศูนย์การค้าเอ้าท์ดอร์ที่ยาวที่สุด
เราวางรูปแบบสวยหรู ยุดนั้นถ้าไปสืบดูจะรู้ว่าผู้ที่ไปเซ้งพื้นที่ล้วนเป็นมืออาชีพทุกร้านทั้งนั้น"
สุพจน์ ตันติจิรสกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทพีนากรุ๊ป ลูกค้าคนหนึ่งเล่าให้
"ผู้จัดการ" ฟัง ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ดีประกอบกับเป็นช่วงที่ธุรกิจบูมมาก
โครงการนั้นสามารถขายพื้นที่ได้เป็นจำนวนมาก "เราตั้งใจให้ที่นี่เป็นเหมือนฮาราจูกุของโตเกียว
เราวางถึงขนาดนั้น วางกันว่าในแต่ละวีคเอ็นด์จะปิดถนนสร้างแอคทิวิตี้ของรีเทลช็อปให้เป็นถนนสายแฟชั่น
สุพจน์เล่าต่อถึงสาเหตุของการลงทุนซึ่งเขามั่นใจมากถึงกับเซ้งในส่วนของตึกชั้นเดียวไว้ถึง
20 ห้อง แต่พอโครงการเดินหน้าต่อไม่ได้ เขาก็ถือเอาไว้ แล้วค่อยๆ ปล่อยเช่าให้กับธุรกิจผับเมื่อปีที่แล้วนี่เอง
อีดเหตุผลหนึ่งที่ทำให้โครงการนี้เดินต่อไม่ได้ ก็คือ ศักยภาพบนถนนพระราม
9 ไม่ได้เฟื่องฟูสุดๆ ตามที่คาดการณ์ไว้ ถนนพระราม 9 นั้นเป็นที่วากดหวังกันมากว่าจะเป็นถนนสายเศรษฐกิจที่สำคัญเส้นหนึ่ง
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นถนนสายหลักที่สำคัญในการเดินทางไปสู่ภาคตะวันออก
และเชื่อมโยงกับถนนสายสำคัญๆ หลายสาย เช่น รามคำแหง ศรีนครินทร์ พัฒนาการ
อีกทั้งเป็นหนึ่งในโครงการจัดรูปที่ดินของสำนักผังเมืองที่มีควาใเป็นไปได้มากที่สุดอยู่ช่วงหนึ่ง
นักพัฒนาที่ดินจำนวนมากจึงได้ประกาศยึดหัวหาดที่นี่กันเป็นทิวแถวเป็นทั้งโครงการคอนโดมิเนียมที่อยู่อาศัย
และออฟฟิศสำนักงาน ถนนสายอาร์ซีเอ ที่เกิดขึ้น ในช่วงนั้นก็เต็มไปด้วยความหวังที่ว่า
กลุ่มคนที่อยู่ในตึกทั้งหมายเหล่านั้นคือกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่สำคัญ
แต่เมื่อฟองสบู่ที่ถูกตีให้ลอยฟ่อง แตกสลายไปเหลือแต่ความว่างเปล่า อาคารต่างๆ
ที่เกิดขึ้นมีเพียงไม่กี่โครงการ แถมยังชะลอการก่อสร้างออกไปเสีย ผลพวงที่อาร์ซีเอได้รับไปเต็มๆ
ก็คือต้องกลายเป็นเมืองร้างรอคนอยู่หลายปี
ในปัจจุบันโครงการอาคารสำนักงานที่สร้างเสร็จแล้วจริงๆ ตรงหัวมุมถนนด้านพระราม
9 ก็มีโครงการว่องวานิช 1 อาคารว่องวานิช 2 สร้างเสร็จแล้วประมาณ 95% ตึกชำนาญเพ็ญชาติ
ส่วนโครงการอื่นๆ กลับยังไม่มีวี่แววการก่อสร้าง มีเพียงแต่อาคาร เค.พี.เอ็นทาวเวอร์
ที่อยู่ไกลออกไปหน่อยกำลังเร่งมือในการก่อสร้าง
โครงการนี้ถึงจุดหักเหอีกครั้งหนึ่ง เมื่อชาตรี โสภณพนิช ธนาคารเจ้าหนี้ให้บริษัทซิตี้เรียลตี้ของชาลี
ลูกชายคนที่ 3 ลงมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่แทน แน่ล่ะ! ชาลีต้องรับภาระหนักในการฟื้นฟูรอยัลซิตี้อเวนิว
ช่วงแรกผับไม่ใช่แผนการในความคิดของชาลีเลยแม้แต่น้อย แต่ทุกวันนี้ผับกำลังทำให้เขาโชคดีอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว