บอกตรงๆ ว่าหลายครั้งผมเริ่มท้อและหมดหวังกับสังคมไทย
ผมไม่ได้รักชาติ รักสังคม มีอุดมการณ์แก่กล้าอะไรนักหรอก และไม่ใช่คนประเภทที่ตัวสั่นทุกครั้งที่เห็นความอยุติธรรมจนป็นเพื่อนเซ
กูวาร่าได้ ออกจะตรงกันข้าม ที่ถ้าเลือกได้อยากจะโลดแล่นท่องเที่ยวไปทั่ว
เยี่ยมชมสิ่งดีๆ ที่ยังพอมีเหลืออยู่อีกมากมายในโลกใบนี้ บังเอิญผมเลือกไม่ได้เพราะยังต้องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
มันช่วยไม่ได้จริงๆ วิชาชีพเดียวที่ผมถนัดและมั่นใจว่าทำได้ดีที่สุดคือ
การเขียนหนังสือ เขียนจากเรื่องจริงเพื่อสื่อความเป็นไปในสังคมให้ผู้ซื้อสิ่งพิมพ์รับรู้
กว่าครึ่งของเวลา 20 ปีที่ผ่านมาในวิชาชีพนี้ ผมยืนอยู่ในสายข่าวการเมือง
เพิ่งจะเมื่อ 8 ปีมานี้เองที่ได้เข้ามาอยู่ในโลกของข่าวธุรกิจ แม้จะไม่ได้รับผิดชอบโดยตรง
แต่การสัมผัสเรียนรู้เพื่อพัฒนาเนื้อหาของข่าวการเมือง ทำให้ผมหูตากว้างขึ้น
เพราะเป็นช่วงเวลาที่ระบบเศรษฐกิจของประเทศผูกพันเข้ากับระบบเศรษฐกิจโลก
สภาวะไร้พรมแดนในการเคลื่อนไหวเงินตรามีปรากฏให้เห็นชัดขึ้น
ความร่ำรวยไม่ได้มาจากการทำงานหนักตามคติดั้งเดิมอีกต่อไป หากแต่มาจากความชำนาญในการเล่นเกม...
เกมการเงิน!
การเมืองวันนี้ถือได้ว่าหมดยุคเผด็จการทหาร โดยพื้นฐานระบอบผู้บริหารมาจากการเลือกตั้งดำรงอยู่อย่างง่อนแง่น
ความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศในยุคทุนไร้พรมแดนเป็นที่มาของการเรียกร้องความเปลี่ยนแปลง
แม้จะไม่มีข้อสรุปร่วมกันชัดเจนว่าเปลี่ยนไปสู่อะไร ในขณะที่นโยบายแห่งรัฐจำต้องถูกบังคับให้ปรับเปลี่ยนด้วยกลไกเศรษฐกิจโลกที่เรานำตัวเข้าไปผูกพันอยู่
เราจะต้องเป็นรัฐเสรีทางเศรษฐกิจธุรกิจ ทั้งทุนชาติและทุนต่างชาติจะต้องแข่งขันกันภายใต้กรอบกติกาเดียวกัน
ภายในระยะเวลาอีกไม่นานนักข้างหน้า
รัฐไทยแบบเดิมที่เป็นรัฐเก็บค่าต๋งจะต้องสลายไป ดูมันเหมือนดี แต่เอาเข้าจริงๆ
แล้วขณะนี้ ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเสรีทางเศรษฐกิจ ก่อนที่การเมืองจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง
รัฐยังคงมีอำนาจอยู่ และมีมากเสียด้วย
ผมหมายถึงอำนาจในการจัดสรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจ อย่าไปคิดถึงแค่เรื่องป่าไม้
ที่ดิน เหมืองแร่ แต่ต้องคิดถึงเรื่องคลื่นความถี่ในอากาศ ที่รัฐเป็นผู้มีอำนาจจัดสรรและเป็นเจ้าของในนามของประชาชน
ต้องคิดถึงการลงทุนในสาธารณูปโภคพื้นฐาน และ ฯลฯ
เชื่อมั้ยครับว่าที่สุดแล้ว มันจำต้องตกอยู่ในมือคนกลุ่มเดียว ได้มาจากรัฐ
แล้วนำไปหาเงินจากต่างชาติ จากในชาติ ผ่านระบบธนาคาร สถาบันการเงิน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลไกของตลาดหลักทรัพย์
มาสร้างโอกาสในการหาเงินจากประชาชนในรูปแบบต่างๆ
พวกเขาเข้ามาสู่การเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อม กรณีอย่างบีบีซีนั้น ผมอยากจะบอกว่าเป็นเพียงเกมการเงินเบสิก
ตื้นๆ ที่จับได้ไล่ทันง่าย เพราะตัวละครล้วนมี image ไม่ดีทั้งนั้น ที่สำคัญก็คือเป็นการหาเงินแบบตีหัวเข้าบ้านชั่วครั้งชั่วคราว
งานใหญ่ที่สังคมไม่พยายามจะรับรู้ยังมีอีกมาก คนไทยมักตัดสินปัญหาด้วยความรู้สึก
เราสะใจกับการประณาม บดขยี้ โจรกิ๊กก๊อกแบบผู้ร้ายหนังไทย เสียงดัง หัวเราะห้าว
ไว้หนวด ดื่มบรั่นดีแทนน้ำ
แต่เรายกย่องนับถือโจรผู้ดี บีบีซีเล่นเกมการเงินตลาดๆ ง่ายๆ สัมพันธ์นักการเมืองตลาดๆ
ไม่ค่อยมีปัญญา ต่างกับแบงก์อื่นที่เล่นเกมการเงินชั้นสูง กับโครงการที่ประชาชนต้องการ
ผ่านเครือข่ายการเมืองภาพลักษณ์ดีงาม กว่าเมืองไทยจะเปิดเสรีทางเศรษฐกิจเต็ม
100 ในอนาคต ผมสงสัยว่า จะมีอะไรเหลืออยู่ให้ผู้ประกอบการรายใหม่บ้าง?