|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
การตั้งงบไล่ซื้อห้างค้าปลีกทั้งในและต่างประเทศปีละ 20,000 ล้านบาท โดยเฉพาะดีลประวัติศาสตร์ที่ซีอาร์ซีกลายเป็นกลุ่มทุนค้าปลีกไทยเจ้าแรกที่บุกไปไกลถึงยุโรปอย่าง “ลา รีนาเซนเต” ขณะนี้เปิดแล้ว 11 สาขาและล่าสุดตกลงซื้อตึกขนาดใหญ่พื้นที่ 17,000 ตารางเมตร ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี มูลค่า 8,000 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงเป็นห้างค้าปลีกและจะเปิดให้บริการภายใน 3 ปีข้างหน้า
การซื้อกิจการห้างสรรพสินค้า ลา รีนาเซนเต ในอิตาลีครั้งนั้น ซีอาร์ซีต้องการก้าวสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจห้างสรรพสินค้าระดับโลกและก้าวสู่ “โกลบอล คอมปะนี” โดยขยายแบรนด์ห้างสรรพสินค้าในกลุ่มเซ็นทรัลรีเทล จากเดิม 3 แบรนด์ เป็น 4 แบรนด์ ประกอบด้วย เซ็นทรัล เซน โรบินสัน และ ลา รีนาเซนเต ครอบคลุมการทำตลาดทุกระดับ โดยวางให้ “เซ็นทรัล” เป็นแบรนด์ ท็อปออฟเอเชีย ส่วน “ลา รีนาเซนเต” เป็นแบรนด์ท็อปออฟเวิลด์ รองรับการขยายสาขาทั้งประเทศไทยและทั่วโลก
ในจีนเอง ซีอาร์ซีใช้เวลาในการขยายตลาดค่อนข้างนานเพราะไม่ใช่ตลาดที่ง่าย คู่แข่งจำนวนมาก โดยเฉพาะห้างท้องถิ่น ซึ่งในจีนมีห้างเซ็นทรัลเปิดให้บริการที่เมืองหางโจว เมืองเฉิงตู และห้างเซ็นทรัลและเซน ที่เมืองเสิ่นหยาง ล่าสุดเซ็นสัญญากับผู้บริหารโครงการศูนย์การค้ามิกซ์ซีเปิดห้างเซ็นทรัลเพิ่มอีก 1 สาขาในเมืองเฉิงตูและอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 2 โครงการ
ส่วนในอินโดนีเซียจะเปิดห้างเซ็นทรัลในศูนย์การค้าแกรนด์ อินโดนีเซีย ช็อปปิ้งคอมเพล็กซ์ ที่กรุงจาการ์ตา
ในขณะที่ทศลุยซื้อกิจการและร่วมทุนเปิดห้างในต่างประเทศ ซึ่งดูเหมือนจะสวนทางกับการเรียกร้องให้รัฐบาลปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย เพื่อดึงนักช้อปไทยกลับมาจับจ่ายในห้างของไทย โดยเฉพาะ ทศ จิราธิวัฒน์ แทบจะพูดได้ในทุกเวทีและพูดได้ทุกครั้งเมื่อถูกถามถึง “อุปสรรค” ข้อสำคัญที่สุดของธุรกิจค้าปลีกไทย
หากดูข้อมูลล่าสุดจากยอดการขอคืนภาษี (tax refund) ของกลุ่มประเทศยุโรป พบว่าคนไทยกลายเป็นนักช้อปปิ้งติดอันดับ 6 ของโลก โดยจีนติดอันดับ 1 ตามด้วยรัสเซีย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และอินโดนีเซีย นอกจากนี้ นักลงทุนยุโรปมองไทยเป็นประเทศที่น่าจับตามองเป็นอันดับ 1 ของโลก เนื่องจากกลุ่มชนชั้นกลางมีกำลังซื้อสูงขึ้น ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของไทยในสายตาชาวยุโรปกำลังก้าวเข้าสู่ประเทศเจริญแล้วส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีกไทยถูกจับตาในฐานะธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูง
ทั้งสองประเด็นแท้จริงสอดคล้องและเป็นข้อเท็จจริงที่ทำให้ซีอาร์ซีจำเป็นต้องขยายสาขาในต่างประเทศแบบครอบคลุมมากที่สุดและมุ่งพัฒนาห้างค้าปลีกในประเทศ เพื่อดึงเงินในกระเป๋าจากชาวต่างประเทศและตั้งด่านสกัดนักช้อปไทยที่แห่ไปจ่ายเงินซื้อสินค้าในต่างประเทศเพิ่มขึ้นทุกปี
“ถ้าประเทศไทยพัฒนามากขึ้น คนไทยจะช้อปในบ้านมากขึ้น แต่สุดท้ายอยู่ที่เรื่องภาษี รัฐบาลไม่ดูแลเรื่องภาษี สุดท้ายคนไทยก็ช้อปต่างประเทศ เราไม่ได้อะไรเลยอยู่ดี รัฐบาลไม่ได้ภาษี เราเสียรายได้ ถามว่าคนไทยช้อปเยอะแค่ไหนก็ติดอันดับ 6 ของโลกแล้ว เราพยายามบอกหลายครั้ง คนไทยซื้อเยอะมาก เทียบภาษีแวต 7% น้อยมากเมื่อเทียบกับภาษีนำเข้า คูณกันแล้วคนละเรื่อง วิกฤติเศรษฐกิจในยุโรป ทุกวันนี้เขารอดเพราะนักท่องเที่ยวช้อปปิ้ง เมืองไทยก็เหมือนกัน ถ้าลดภาษีนำเข้านักท่องเที่ยวจะเข้ามามากมายมหาศาล เพราะรายได้ค้าปลีกอันดับหนึ่งมาจากนักท่องเที่ยว”
สังเกตได้จากยอดขายของห้างลา รีนาเซนเต ที่อิตาลีช่วงเกิดวิกฤติเศรษฐกิจยุโรปมียอดขายเติบโต 6% แต่หลังจากเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นยอดขายเติบโตสูงถึง 17% รวม 11 สาขา สร้างรายได้รวม 16,000 ล้านบาท และทำให้ทศเริ่มเบนเข็มขยายตลาดในยุโรปมากขึ้นด้วย
|
|
|
|
|