|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ กรกฎาคม 2555
|
|
ดูปองท์ บริษัทที่ดำเนินธุรกิจให้บริการและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีพื้นฐานจากวิทยาศาสตร์ที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2345 (ค.ศ.1802) เน้นการคิดค้นนวัตกรรมเพื่อช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนดีขึ้น ทำธุรกิจในกว่า 90 ประเทศทั่วโลก ภายใต้ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เช่น ธุรกิจเคมี อาหารและการเกษตร การก่อสร้าง การสื่อสาร และการขนส่ง
ในระยะปัจจุบันเทรนด์การตลาดของดูปองท์เน้นไปในทิศทางเดียวกับองค์กร ส่วนใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับการคิดสินค้าที่มีประโยชน์ต่อผู้คนในด้านต่างๆ ที่นำไปสู่การลดการพึ่งพิงการใช้เชื้อเพลิงประเภทฟอสซิล และนำเสนอนวัตกรรมรักษ์โลกให้มากขึ้น เพราะตอบโจทย์ทั้งธุรกิจที่ต้องการสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและกระแสการอนุรักษ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นไม่เว้นแม้แต่ตลาดไทย
ในยุคที่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มีการขยายตัวมากขึ้นเพราะได้รับการยอมรับว่าเป็นรูปแบบของพลังงานที่เป็น มิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สุด ทำให้ความต้องการอุปกรณ์อย่างแผงเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ สูงขึ้นตามไปด้วย ดูปองท์ก็มีบริษัทในเครือ ชื่อ ดูปองท์ อพอลโล เริ่มเข้าไปผลิต PV หรือแผงโซลาร์โฟโต้โวลทาอิคแบบฟิล์มบางซิลิกอนในจีนทั้งที่ฮ่องกงและเซินเจิ้น เพื่อตอบสนองตลาดนี้ทันทีตั้งแต่ปี 2551
การเข้ามาตั้งฐานผลิตในจีนของดูปองท์มีเป้าหมายที่จะส่งสินค้าเข้ามาทำตลาดในไทยโดยตรง เพราะศึกษานโยบาย ด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้าของไทยแล้วพบว่าไทยมีแผนพัฒนาพลังงานทางเลือกในช่วงปี 2555-2564 ให้เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ โดยมีการปรับเป้าหมายผลิตและใช้พลังงานทดแทนรวมจาก 20% เป็น 25% ซึ่งปัจจุบันการผลิตส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้พลังงานจากน้ำมันและก๊าซเป็นหลัก
“เรามองว่านี่คือโอกาสของดูปองท์ในตลาดไทย ซึ่งเราจะใช้เป็นฐานบุกตลาดอาเซียนด้วยต่อไป เชื่อว่าภายในปี 2558 ราคาไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์จะใกล้เคียงกับราคาจากไฟฟ้าที่ได้จากเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งจะมีผลให้นักลงทุนตัดสินใจเข้ามาลงทุน และขยายโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น สถิติทุกวันนี้ทั่วโลกก็มีการใช้ PV มากถึง 40% ของประชากรเกือบ 7 พันล้านคนแล้ว” นายสัตวแพทย์สมชาย เลาห์วีระพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูปองท์ ประเทศไทย จำกัด ให้ข้อมูล
ขณะเดียวกันก็ให้ข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของแสงอาทิตย์ในไทยว่า มีความเข้มของแสงอาทิตย์เฉลี่ย 18.2 เมกะจูลต่อตารางเมตรต่อวัน เป็นระดับที่ถือว่ามีศักยภาพมากพอที่จะนำมาใช้ลดการพึ่งพาพลังงานประเภทฟอสซิลได้ดี จึงเหมาะที่จะนำมาใช้ผลิตไฟแทนฟอสซิลเพื่อช่วยลดปัญหาโลกร้อนโดยตรง
ผลจากโฟกัสที่ตลาดไทยนับแต่มีโรงงานผลิตในจีน ล่าสุดดูปองท์ได้ลูกค้าจากกลุ่มผู้พัฒนาพลังงานทดแทนในไทย 2 โครงการ ในการติดตั้ง PV ให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัท สมาร์ท กรีน เอ็นเนอร์จี จำกัด ที่จังหวัดชัยภูมิ และบริษัท อินฟินิท กรีน จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี รวมกำลังการผลิต 22.75 เมกะวัตต์
ชัค ซู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดูปองท์ อพอลโล ที่เดินทางมาร่วมในงานทำสัญญากับโครงการในไทยที่ศูนย์นวัตกรรมดูปองท์ในเมืองไทย กล่าวถึงจุดเด่น PV ของบริษัทที่ผลิตในประเทศจีนว่า เป็นแผงที่ออกแบบมาให้เหมาะกับสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้นของไทย เพื่อให้ตอบสนองกับแสงอาทิตย์ในการผลิตไฟฟ้าให้มากขึ้นและคงที่ ซึ่งได้รับการพิสูจน์มาแล้วจากโครงการโรงไฟฟ้าขนาด 8.7 เมกะวัตต์ ที่บริษัทเคยติดตั้งให้กับบริษัท แอล โซลาร์ 1 จำกัด
“แอล โซลาร์ 1 ที่จังหวัดปราจีนบุรี เป็นโครงการระดับเมกะวัตต์โครงการแรกที่ดูปองท์ อพอลโล ร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศกับกลุ่มล็อกซเล่ย์ เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ของความสำเร็จร่วมกันในการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย ผลการดำเนินงานพบว่าโรงไฟฟ้าแห่งนี้แสดงอัตราการผลิตไฟฟ้า (Performance Ratio) ที่มีประสิทธิภาพและคงที่นับตั้งแต่เริ่มจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบตั้งแต่เดือนกันยายน 2554 ทำให้เรามั่นใจว่าผลของการลงทุนระยะยาวของเรามาจากระบบพีวีที่ไว้วางใจได้”
ชัค ซูกล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับตลาดกรีนเอ็นเนอยีในไทยถือว่าเพิ่งเริ่มต้นอย่างจริงจัง และบริษัทมีเป้าหมายว่าจะร่วมกับพันธมิตรในไทยเพื่อรองรับความต้องการด้านพลังงานทดแทนนี้ให้มากขึ้น เพราะเชื่อว่านี่คือแนวทางที่สามารถตอบสนองความต้องการด้านพลังงานที่ยั่งยืนได้ทางหนึ่ง และผลที่เห็นสัมผัสได้ทันทีคือการสร้างประโยชน์จากแสงอาทิตย์ที่เป็นพลังงานสะอาดได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ช่วยลดการพึ่งพาของโลกในการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่เป็นต้นเหตุของมลพิษได้ทันทีเช่นกัน
|
|
|
|
|