|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ กรกฎาคม 2555
|
|
คำถามที่เกี่ยวเนื่องกับการก้าวไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี พ.ศ.2558 ที่น่าสนใจประการหนึ่งอยู่ที่ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นผู้นำในการส่งออกข้าวของโลกจะใช้โอกาสนี้ในการปรับตัวและยกระดับสถานะการผลิต การค้า และการส่งออกของอุตสาหกรรมข้าวไทยได้อย่างไร
ทำอย่างไรที่จะสามารถสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมข้าวของไทยทั้งระบบ โดยเฉพาะชาวนาไทยที่เป็นผู้ผลิตวัตถุดิบข้าวเปลือก สามารถมีความมั่นคงและศักดิ์ศรีในอาชีพนี้ นอกเหนือจากการส่งออกข้าวคุณภาพดี ซึ่งเป็นที่ต้องการทั่วโลก สามารถสร้างรายได้ให้แก่ประเทศทั้งในแง่จำนวนและมูลค่า
สุเมธ เหล่าโมราพร ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ (สายธุรกิจข้าวและอาหาร) และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีพี อินเตอร์เทรด จำกัด ให้ทัศนะว่า AEC มีหลายมุมมองที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องให้ความสนใจ เพราะที่ผ่านมากลุ่มประเทศผู้นำเข้าอย่างประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีนโยบายให้หน่วยงานของรัฐผูกขาดการนำเข้า
ซึ่งนโยบายดังกล่าวเป็นประหนึ่งการปิดกั้นการทำการตลาดข้าวไทยคุณภาพดีระหว่างภาคเอกชนของไทยกับภาคเอกชนของประเทศเหล่านั้น เพราะหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย จะนำเข้าข้าวคุณภาพปานกลาง คือ ข้าวขาว 10-25% แทนที่จะนำเข้าข้าวหอมมะลิที่เป็นสินค้าคุณภาพจากไทย
หากมีการเปิดเสรีทางการค้าจะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนของไทยร่วมมือกับภาคเอกชนของประเทศเหล่านี้ได้เพิ่มขึ้น และสามารถสร้างตลาดข้าวคุณภาพดี เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในประเทศเหล่านี้ ซึ่งอยากจะรับประทานข้าวหอมมะลิไทย
ขณะเดียวกันในกรณีข้าวเปลือกและข้าวสารของประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศกัมพูชา ซึ่งผลิตได้ล้นเหลือจากการบริโภคภายในประเทศก็ได้มีการขายข้ามผ่านชายแดนไทย-กัมพูชา เข้ามาฝั่งไทย ซึ่งไม่ถูกต้องตามกฎหมายไทย
หากเมื่อเข้าร่วมเป็น AEC แล้วประเทศไทยสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้โดยการส่งเสริมและเปิดจุดรับซื้อ (นำเข้า) อย่างเป็นทางการ
“วัตถุดิบข้าวเปลือกและข้าวสารเหล่านี้สามารถหล่อเลี้ยงชาวนา การผลิต โรงสี และอุตสาหกรรมการแปรรูปข้าวได้ ตรงนี้จะช่วยส่งเสริมประเทศไทยให้เป็น “ศูนย์กลางการค้าข้าว” อย่างแท้จริง”
ทั้งนี้จากการเดินทางไปสำรวจตลาดต่างประเทศทั้งแอฟริกาและตะวันออกกลาง ต้องยอมรับว่าคุณภาพข้าวไทย และชื่อเสียงของข้าวไทยเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก แม้ว่าข้าวไทยจะขายในราคาที่สูงกว่าข้าวจากเวียดนาม อินเดีย ปากีสถาน เฉลี่ยตันละ 150-250 เหรียญสหรัฐต่อเมตริกตัน โดยข้าวนึ่งไทยมีราคาตันละประมาณ 630-650 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่ข้าวนึ่งอินเดียอยู่ที่ตันละ 421-450 เหรียญสหรัฐ ก็ตาม
ปัจจุบันประเทศในทวีปแอฟริกามีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น การเมืองในประเทศและระหว่างประเทศดีขึ้นส่งผลให้เกิดชนชั้นกลางมากขึ้น ฐานะดีขึ้น และมีความต้องการบริโภคอาหาร ที่มีคุณภาพ เช่น ข้าวคุณภาพดีของไทย (ข้าวนึ่ง, ข้าวหอมมะลิ, ข้าวขาว 5%, ปลายข้าวหอมมะลิ)
โดยเมื่อพิจารณาจากตัวเลขการส่งออก 5 เดือนแรกของปีนี้ (2555) จะพบว่าประเทศไทยมีตัวเลขส่งออกข้าวทุกชนิดและทุกตลาด อยู่ที่ประมาณ 3 ล้านตัน สูงกว่าประเทศอินเดียหรือเวียดนาม ที่มียอดส่งออกข้าวประมาณ 2.4-2.6 ล้านตันในแต่ละประเทศ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นสิ่งยืนยันว่าประเทศไทยยังคงเป็นผู้นำในการส่งออกอยู่ และขายได้ในราคาสูงขึ้น (ปี 2012 เฉลี่ยราคา 670 เหรียญสหรัฐต่อตัน เปรียบเทียบปีที่แล้วที่ 550 เหรียญสหรัฐต่อตัน)
ทั้งนี้เบื้องหลังความสำเร็จของข้าวไทยในตลาดโลกมาจาก “พันธุ์ข้าวคุณภาพดี” ซึ่งเป็นผลงานการวิจัยพัฒนาของกระทรวงเกษตรฯ การประชาสัมพันธ์ และส่งเสริมการขายของกระทรวงพาณิชย์ ผู้ประกอบการเอกชน เช่น โรงสี ผู้ส่งออก และที่สำคัญที่สุดคือ ชาวนาไทย ซึ่งเป็นผู้ผลิตข้าวเปลือกคุณภาพดี
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยจะประมาทไม่ได้ ภาครัฐจะต้องส่งเสริม จัดสรรงบประมาณให้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สร้างนักวิชาการรุ่นใหม่ๆ เพื่อพัฒนาพันธุ์ข้าวของไทยให้มีคุณภาพสูงขึ้น ปรับปรุงระบบชลประทาน พัฒนาการปลูกข้าวของไทย และการเก็บเกี่ยว สร้างกลยุทธ์ และใช้งบประมาณที่พอเพียงในการสร้างและยกระดับภาพลักษณ์ของข้าวไทยแก่ประเทศคู่ค้า และผู้บริโภคทั่วโลก สร้างช่องทางการขายใหม่ๆ ยุทธศาสตร์การส่งเสริมข้าวไทยควบคู่กับอาหารไทยและการท่องเที่ยวไทย
“การพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวไทยต้องทำอย่างต่อเนื่อง หากหยุดการพัฒนาหรือประมาท เราก็จะสูญเสียสถานะการเป็นผู้นำในธุรกิจข้าวของตลาดโลก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย (Nokia) ซึ่งเมื่อ 5-6 ปีที่แล้วได้รับการยอมรับว่าเป็นเบอร์หนึ่งของโลก แต่วันนี้โทรศัพท์มือถือแบบ Smart Phone ของค่ายอื่นแซงหน้าไปแล้ว”
“ข้าวไทย” ก็เช่นกัน หากไม่ได้รับการดูแลและพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำอย่างต่อเนื่องและทันการณ์ โอกาสที่จะถูกแซงหน้าก็มีสูง
ทั้งนี้ บริษัท ซีพี อินเตอร์เทรด จำกัด (ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและการส่งออก) ซึ่งมีฐานะเป็นผู้นำธุรกิจข้าวของไทยในปัจจุบัน ได้ก่อสร้างโรงงานปรับปรุงคุณภาพข้าวแห่งใหม่ที่มีความทันสมัยและมีกำลังการผลิตกว่า 1 ล้านตัน/ปี ซึ่งได้เปิดทำการตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจข้าวตราฉัตร ทั้งในประเทศและส่งออก
โดยในส่วนของตลาดในประเทศ บริษัทฯ ได้วางแผนเจาะกลุ่มธุรกิจ HORECA (Hotel Restaurant and catering/โรงแรม ร้านอาหาร ครัว) เพื่อตอบสนองผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่มีการเติบโตสูงด้วย
|
|
|
|
|